แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
พยานโจทก์รู้จักผู้เสียหาย จำเลย และกระบือของผู้เสียหายดี เห็นจำเลยกับพวกพากระบือของผู้เสียหายไปในเวลาดึกน่าจะเข้าใจว่าเป็นคนร้ายลักกระบือ และน่าจะซักถามจำเลยว่าจะพาไปไหน แต่ก็ไม่ได้ซักถาม ทั้งไม่ได้ไปบอกผู้เสียหายทราบก่อนที่จะทราบจากชาวบ้านว่ากระบือของผู้เสียหาย หายไป เป็นการผิดวิสัย ดังนี้ ไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 จำคุก 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2525 เวลากลางคืน นายจัน ปิ่นอำคา ผู้เสียหายนำกระบือของตน3 ตัว ราคา 17,000 บาท ไปผูกล่ามไว้ที่หลังบ้านแล้วเข้านอน คืนนั้นเวลาประมาณ 23 นาฬิกา นายชารี นนทะ กับนายหวัน ศรีชมภู ออกไปยิงหนูในทุ่งนาห่างจากหมู่บ้านประมาณ 10 เส้น เห็นจำเลยกับพวกอีกสองคนช่วยกันไล่ต้อนกระบือทั้งสามตัวของผู้เสียหายไปทางบ้านหนองแข้ ตำบลจุมจัง อำเภอกุฉินนารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นบ้านเดิมของจำเลยวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายตื่นมาไม่พบกระบือจึงไปบอกให้นายสมัย กิติลาภ บุตรเขยกับพวกออกตามหา แต่นายสมัยกับพวกตามหาไม่พบ ต่อมาบ่ายวันเดียวกันผู้เสียหายทราบเรื่องจากนายชารีและนายหวันจึงให้นายสมัยกับพวกซึ่งมีเจ้าพนักงานตำรวจอยู่ด้วยคนหนึ่งไปตามหากระบือที่บ้านเดิมของจำเลย นายสมัยกับพวกไปถึงบ้านเดิมของจำเลยซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านผู้เสียหายประมาณ 35-40 กิโลเมตร เมื่อเวลาประมาณ 22 นาฬิกา พบจำเลยอยู่ที่บ้านสอบถามแล้วจำเลยปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง นายสมัยจึงให้จำเลยช่วยตามหา โดยนายสมัยไปกับจำเลย ส่วนพวกของนายสมัยแยกไปอีกทางหนึ่ง เมื่อนายสมัยกับจำเลยเดินออกไปจากหมู่บ้านได้ประมาณ 4 เส้นก็พบชายสองคน ชายสองคนนั้นร้องถามจำเลยว่าจะชำแหละไหม ถ้าไม่ชำแหละจะส่งให้คนอื่นไป จำเลยไม่พูดตอบ นายสมัยกับจำเลยเดินย้อนกลับมาพบกับพวกแล้วนายสมัยแยกจากจำเลยไปตามหากระบือต่อ และไปพบกระบือทั้งสามตัวของผู้เสียหายผูกล่ามอยู่ข้างกองฝางจึงนำกระบือทั้งสามตัวกลับมาคืนผู้เสียหายแล้วจับกุมจำเลยส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี
จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่ว่า คืนวันเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่บ้านของนายสด โนนจุมจัง ที่บ้านจูมจัง ตำบลจูมจัง อำเภอกุฉินารายน์ จังหวัดกาฬสินธุ์ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 30 กิโลเมตร ไปเยี่ยมมารดานายสดที่ป่วย และนอนค้างคืนที่นั่น ไม่ได้ไปยังที่เกิดเหตุ วันรุ่งขึ้นจึงกลับไปที่บ้านเดิมและยังได้ช่วยนายสมัยออกตามหากระบือของผู้เสียหายด้วย จำเลยกับผู้เสียหายมีสาเหตุโกรธเคืองกัน
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานโจทก์จำเลยโดยตลอดแล้ว โจทก์มีนายชารี นนทะ และนายหวัน ศรีชมภู มาเบิกความว่า คืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 23 นาฬิกา ขณะที่พยานทั้งสองพากันออกไปยิงหนูนาห่างหมู่บ้านนาแพงที่ผู้เสียหายอยู่ประมาณ 10 เส้น เห็นจำเลยกับพวกอีก 2 คนช่วยกันไล่ต้อนกระบือ 3 ตัวผ่านห่างประมาณ 5 วาไปทางทิศเหนือซึ่งออกไปสู่จังหวัดกาฬสินธุ์ได้ พยานทั้งสองจำได้ว่าเป็นกระบือของผู้เสียหายเพราะเคยเห็นบ่อย ๆ ที่เห็นเพราะคืนนั้นขึ้น 11 ค่ำเดือนหงาย เห็นว่าพยานทั้งสองรู้จักผู้เสียหาย จำเลยและกระบือของผู้เสียหายดี หากพยานทั้งสองเห็นจำเลยกับพวกอีก 2 คนพากระบือของผู้เสียหายไปในเวลาดึกดื่นเช่นนั้น พยานทั้งสองน่าจะเข้าใจว่าจำเลยกับพวกคนร้ายลักกระบือของผู้เสียหายและน่าจะซักถามจำเลยดูบ้างว่าจะพากระบือของผู้เสียหายไปไหนแต่ก็ไม่ได้ซักถามจำเลย และก็ไม่ได้สงสัยหรือสนใจอะไร ทั้งไม่ได้ไปบอกให้ผู้เสียหายทราบก่อนที่จะทราบจากชาวบ้านว่ากระบือของผู้เสียหายหายไปจึงเป็นการผิดวิสัย ที่ผู้เสียหายเบิกความวันรุ่งขึ้นวันที่ 6 นายสมัยบุตรเขยได้ตามไปที่บ้านเดิมของจำเลยที่บ้านหนองแข้ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านผู้เสียหายประมาณ 30 กิโลเมตร ไม่พบกระบือกลับมาถึงบ้านตอนบ่าย แล้วพยานโจทก์ 2 ปากดังกล่าวมาบอกว่าเห็นจำเลยกับพวกอีก 2 คนต้อนกระบือของผู้เสียหายไปเมื่อคืนที่ผ่านมาไปทางบ้านเดิมของจำเลย พอรู้เรื่องจากพยานโจทก์ 2 ปากดังกล่าวแล้ว นายสมัยกับพวกจึงพากันเหมารถมุ่งไปที่บ้านเดิมของจำเลยในเย็นวันนั้นอีกและได้กระบือทั้ง 3 ตัวคืนมาในคืนนั้น แต่นายสมบัติเบิกความว่า เมื่อตามกระบือไปครั้งแรกไม่พบกลับมาถึงบ้านราวบ่าย 2 โมงผู้เสียหายได้บอกว่าสงสัยว่าจำเลยเอากระบือไปแน่นอนขอให้พยานและพวกตามกระบือไปที่บ้านเดิมของจำเลยอีกครั้ง โดยผู้เสียหายไม่ได้บอกว่าทราบเรื่องราวจากนายชารีและนายหวัน รุ่งขึ้นหลังจากคืนจับจำเลยได้นายชารีและนายหวันจึงมาเล่าให้นายสมัยฟังว่าเห็นจำเลยเอากระบือของผู้เสียหายไป ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่น่าเชื่อว่านายชารีและนายหวันเห็นจำเลยไล่ต้อนกระบือของผู้เสียหายไป พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน