คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2340/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยนำแถบบันทึกเสียงที่ผู้ชายพูดกับผู้หญิงในลักษณะของการให้สัมภาษณ์เป็นใจความว่า ผู้เสียหายได้ลักลอบได้เสียกับพระภิกษุ ช. เจ้าอาวาสวัดจอมบึงซึ่งเป็นเจ้าคณะอำเภอ มาเปิดให้บุคคลอื่นฟังที่บ้าน อ.และส. ซึ่งมิใช่ที่สาธารณสถานเป็นทำนองปรึกษาหารือกันว่าควรจะดำเนินการอย่างใดเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ต่อพระพุทธศาสนา และหาทางขจัดความมัวหมองในพระพุทธศาสนาให้สิ้นไป หากพระภิกษุ ช. กระทำผิดจริงก็ควรจะสึกออกไป หากไม่จริงก็เอาผิดกับผู้พูดเรื่องนี้และต่อมาได้มีการร้องเรียนต่อศึกษาธิการอำเภอจอมบึงเกี่ยวกับพฤติการณ์ของพระภิกษุ ช. และได้มีบันทึกเสนอต่อตามลำดับจนกระทั่งถึงเจ้าคณะภาคฝ่ายมหานิกายจังหวัดราชบุรีเพื่อสอบหาข้อเท็จจริงจึงถือได้ว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาใส่ความผู้เสียหายให้ถูกดูหมิ่นเกลียดชังหรือเสียหายแต่เป็นการกระทำในการแสดงข้อความโดยสุจริตด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(3) ทั้งนี้เพื่อขจัดข่าวลือในทางที่จะทำให้พุทธศาสนาเสื่อมหมดสิ้นไป จำเลยไม่มีความผิด

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ โดยผู้ซึ่งอธิบดีกรมอัยการมอบหมายลงลายมือชื่อรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ประกอบมาตรา 328จำคุกสำนวนละ 6 เดือน และปรับ 1,500 บาท รวม 2 สำนวนจำคุก 1 ปี และปรับ 3,000 บาท รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีจำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาและสถานที่ตามฟ้อง จำเลยได้นำแถบบันทึกเสียงที่ผู้ชายพูดกับผู้หญิงในลักษณะของการให้สัมภาษณ์เป็นใจความว่า ผู้เสียหายได้ลักลอบได้เสียกับพระภิกษุชมเจ้าอาวาสวัดจอมบึงซึ่งเป็นเจ้าคณะอำเภอมาเปิดให้ นางแอ๊ด มหาทรัพย์ นางละออ จันทรและนางอำฟังที่บ้านนางละออ และเป็นให้นางละม่อม ศิริเอกกับนางเฟื้อ อัมพรสินธุ์ ฟังที่บ้านนายสนอง ยอดครู มีปัญหาว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าจำเลยนับถือศาสนาพุทธ มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอจอมบึงเป็นรองประธานลูกเสือชาวบ้าน เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาตำบลจอมบึงด้านการก่อสร้างถนนและพัฒนาท้องที่ และไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายหรือพระภิกษุชม ทั้งลักษณะของการเปิดแถบบันทึกเสียงของจำเลยก็ไม่ได้เปิดในที่สาธารณสถาน แต่เปิดที่บ้านนางละออ และนายสนองเป็นทำนองปรึกษาหารือกันว่าควรจะดำเนินการอย่างใดเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ต่อพระพุทธศาสนา และหาทางขจัดความมัวหมองในพระพุทธศาสนาให้สิ้นไป จนกระทั่งจำเลยได้รับคำแนะนำจากนายลอย ซึ่งเป็นครูว่า หากพระภิกษุชมกระทำผิดจริงก็ควรจะสึกออกไปหากไม่เป็นความจริงก็เอาผิดกับนางสาคร มหาทรัพย์ซึ่งเป็นผู้พูดเรื่องนี้ต่อมาวันที่ 6 สิงหาคม 2529 ซึ่งเป็นเวลาหลังเกิดเหตุเพียง 3 วัน นางสาคร มหาทรัพย์ ซึ่งเป็นเจ้าของเสียงในแถบบันทึกเสียงได้ไปร้องเรียนด้วยวาจาต่อนายจเร มาลาวงศ์ศึกษาธิการอำเภอจอมบึงเกี่ยวกับพฤติการณ์ของพระภิกษุชมไปในทำนองชู้สาว นายจเรได้ทำบันทึกตามคำร้องเรียนเสนอนายอำเภอจอมบึงผ่านไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี แล้วเสนอต่อเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าคณะภาค จนกระทั่งถึงเจ้าคณะภาคฝ่ายมหานิกายจังหวัดราชบุรีเพื่อสอบหาข้อเท็จจริงต่อไป จึงถือได้ว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาใส่ความผู้เสียหายให้ถูกดูหมิ่นเกลียดชังหรือเสียหาย แต่เป็นการกระทำในการแสดงข้อความโดยสุจริตด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(3) ทั้งนี้เพื่อขจัดข่าวลือในทางที่จะทำให้พุทธศาสนาเสื่อมหมดสิ้นไป จำเลยไม่มีความผิด คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share