คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2337/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในฐานความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 คู่ความจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในความผิดฐานนี้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532มาตรา 13 การกระทำที่จะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30 วรรคแรกนั้นผู้กระทำต้องมีเจตนาที่จะจัดหางานให้คนงานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง แต่โจทก์บรรยายฟ้องในฐานความผิดฉ้อโกงว่า จำเลยทำอุบายจัดตั้งสำนักงานจัดหางานขึ้นดำเนิน ธุรกิจติดต่อ และจัดหางานเพื่อส่งไปทำงานต่างประเทศความจริงจำเลยมิได้จัดตั้งสำนักงานจัดหางานและไม่เคยติดต่องานในต่างประเทศเพื่อจัดส่งคนงานไปทำงานแต่อย่างใด จำเลยเพียงกล่าวอ้างขึ้นหลอกลวงประชาชนเท่านั้น คำฟ้องของโจทก์ได้ความแจ้งชัดว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหาย จำเลยกล่าวอ้างการจัดตั้งสำนักงานจัดหางานขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้เสียหาย โดยหวังจะได้ค่าบริการจากผู้เสียหายเท่านั้น จึงไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตตาม พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 341, 343 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ. 2528 มาตรา 30, 82 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 120,000 บาทแก่ผู้เสียหายทั้งสี่
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 83, 91 รวม 4 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมจำคุก 2 ปีและมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528มาตรา 30, 82 จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 5 ปี และให้จำเลยร่วมคืนหรือชดใช้เงินจำนวน 120,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหาย
โจทก์และจำเลยอุทธรณื
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 กระทงเดียว จำคุก 6 เดือน ความผิดข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ดังที่โจทก์ฟ้องนั้น เห็นว่าฐานความผิดดังกล่าวศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 มาตรา 13 ห้ามมิให้คู่ความฎีกา แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่าความผิดต่อพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานโจทก์บรรยายฟ้องไว้ครบถ้วนความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนงาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30 แล้ว และข้อเท็จจริงก็รับฟังได้ยุติว่า จำเลยร่วมหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่ซึ่งเป็นคนหางานว่าจะจัดหางานให้ผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศ โดยจำเลยกับพวกมิได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนตามกฎหมาย เห็นว่า การที่จะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30วรรคแรก นั้น ผู้กระทำต้องมีเจตนาที่จะจัดหางานให้คนงานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ แต่ผู้กระทำไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง กรณีของคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในฐานความผิดฉ้อโกงมีใจความว่า จำเลยกับพวกทำอุบายร่วมกันจัดตั้งสำนักจัดหางานขึ้นชื่อบริษัทเขลวงศ์หรือเขลางค์ จำกัด ดำเนินธุรกิจติดต่อและจัดหางานเพื่อส่งไปทำงานต่างประเทศโดยเฉพาะ ความจริงแล้วจำเลยกับพวกมิได้จัดตั้งบริษัทดังกล่าวขึ้น และไม่เคยติดต่องานในต่างประเทศเพื่อจัดส่งคนงานไปทำงานแต่อย่างใด จำเลยกับพวกเพียงกล่าวอ้างขึ้นหลอกลวงประชาชนเท่านั้น เช่นนี้คำฟ้องของโจทก์ได้ความโดยแจ้งชัดว่า จำเลยมิได้มีเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งสี่ จำเลยกับพวกกล่าวอ้างการจัดตั้งบริษัทจัดหางานขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่ โดยหวังจะได้ค่าบริการจากผู้เสียหายทั้งสี่เท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share