แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์ก็ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ตามที่จำเลยอุทธรณ์ จำเลยจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกมิได้ เพราะไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน น.บ.๐๓๓๓๘ ซึ่งนายเหลือบเป็นลูกจ้างทำหน้าที่ขับ จำเลยที่ ๓ รับประกันภัยรถดังกล่าว เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม๒๕๑๙ นายเหลือบขับรถดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ด้วยความประมาทพลิกคว่ำขวางทางในเส้นทางที่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฝ.๘๒๑๒ ของกรมทางหลวงที่แล่นสวนทางมา โดยมีนายแสวงเป็นผู้ขับและโจทก์นั่งมาด้วย นายแสวงไม่อาจหยุดรถหรือหลบหลีกได้ จึงแล่นเข้าชนรถของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้นั่งมาในรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฝ.๘๒๑๒ นายเหลือบมิใช่ลูกจ้างกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของนายแสวง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า นายเหลือบไม่ใช่ลูกจ้างทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ เหตุเกิดเพราะคนขับรถคันที่โจทก์นั่งมาประมาทรถยนต์ที่นายเหลือบขับพลิกคว่ำเพราะเหตุสุดวิสัย
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ขณะเกิดเหตุรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนน.บ.๐๓๓๓๘ ไม่ได้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ เพราะขายให้จำเลยที่ ๒ นายเหลือบเป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๓ รับประกันภัยรถยนต์คันนี้แต่จำเลยที่ ๑ ขายไปโดยไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ ๓ ทราบ เป็นการเปลี่ยนแปลงการครอบครองวัตถุประสงค์แห่งสัญญาประกันภัยสัญญาตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิด หากจำเลยที่ ๓ต้องรับผิด ก็คงรับผิดตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยเท่านั้นและเหตุเกิดเพราะความประมาทของนายแสวง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินสองหมื่นบาทต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ ไม่รับวินิจฉัยให้ พิพากษายกอุทธรณ์
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าโจทก์ไม่สามารถนำสืบได้ว่านายเหลือบกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑โจทก์สืบไม่สมฟ้องนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์ก็ไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ ตามที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ จำเลยที่ ๑ จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกมิได้ เพราะไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามมาตรา ๒๔๙ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ ๑