แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อบังคับองค์การจำเลยมีใจความว่า พนักงานที่ถูกตั้งกรรมการสอบสวนอาจถูกสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อนก็ได้ แต่ถ้าการสอบสวนได้ความว่าไม่มีมลทินหรือมัวหมองก็จะสั่งให้กลับเข้าทำงานและมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างที่ถูกสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อนนั้นได้ดังนี้ เมื่อโจทก์ถูกตั้งกรรมการสอบสวนแล้วจำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานตามความเห็นของคณะกรรมการ ต่อมาจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และอัตราค่าจ้างเดิมตามคำพิพากษาของศาล ก็หาทำให้โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างถูกเลิกจ้างไม่
สำหรับเงินค่าช่วยเหลือบุตร เงินค่าการศึกษาของบุตร ค่ารักษาพยาบาลและการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนนั้น ผู้ที่จะมีสิทธิรับหรือได้รับการพิจารณาจะต้องมีฐานะเป็นพนักงานของจำเลย เมื่อโจทก์พ้นจากฐานะพนักงานของจำเลยแล้ว แม้ต่อมาศาลจะพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานโดยนับอายุงานติดต่อกัน ก็หาได้หมายความว่าในระหว่างที่ถูกเลิกจ้างโจทก์ยังคงมีฐานะเป็นพนักงานของจำเลยไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวและไม่มีสิทธิรับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน
ส่วนมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจปรับเงินเดือนแก่พนักงานก็มีวัตถุประสงค์จะปรับเงินเดือนเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ที่ยังมีสภาพเป็นพนักงานอยู่ในวันที่คณะรัฐมนตรีลงมติอนุมัติเมื่อโจทก์พ้นสภาพการเป็นพนักงานของจำเลยและไม่มีอัตราเงินเดือนประจำในขณะนั้น จึงไม่มีสิทธิได้รับการปรับอัตราเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นลูกจ้างประจำของจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามอ้างเหตุว่าขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่สั่งโดยชอบจนเป็นเหตุให้จำเลยต้องเสียหายอย่างร้ายแรง และกระทำการโดยจงใจประมาทเลินเล่อในหน้าที่การงาน เป็นเหตุให้เสียหายแก่กิจการของจำเลยอย่างร้ายแรง โจทก์ทั้งสามได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลาง ในที่สุดศาลพิพากษาว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามโดยไม่เป็นธรรม ให้จำเลยรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่อัตราค่าจ้างเดิม และให้นับอายุงานติดต่อกันเสมือนมิได้เลิกจ้างคดีถึงที่สุดแล้ว หลังจากที่โจทก์ทั้งสามได้เข้าทำงานแล้ว โจทก์ทั้งสามได้ติดต่อขอรับสิทธิตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างของจำเลย คือ โจทก์ทั้งสามมีสิทธิที่จะได้รับเงินเดือนที่งดจ่ายระหว่างถูกเลิกจ้างจนจำเลยรับกลับเข้าทำงาน แต่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว
โจทก์ทั้งสามมีสิทธิได้รับเงินค่าช่วยเหลือบุตร ค่าการศึกษาของบุตรและค่ารักษาพยาบาลสำหรับตนเองและบุคคลในครอบครัวที่จ่ายไป และในทุกสิ้นปีงบประมาณจำเลยจะพิจารณาบำเหน็จประจำปีแก่พนักงาน หากโจทก์ทั้งสามไม่ถูกเลิกจ้างก็มีสิทธิได้รับการพิจารณาบำเหน็จประจำปีคนละหนึ่งขั้นเป็นอย่างน้อย
เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2525 คณะรัฐมนตคีได้ประกาศให้รัฐวิสาหกิจปรับปรุงโครงสร้างอัตราเงินเดือนพนักงานใหม่ จำเลยได้ประกาศปรับปรุงโครงสร้างอัตราเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรี โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิได้รับการปรับปรุงโครงสร้างอัตราเงินเดือนใหม่ด้วย จำเลยไม่ปรับเงินเดือนให้แก่โจทก์ทั้งสาม ทำให้โจทก์ต้องเสียหาย ขาดประโยชน์ที่ควรได้รับโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามและเลื่อนขั้นเงินเดือนโจทก์ทั้งสามคนละ1 ขั้น ให้จำเลยปรับอัตราเงินเดือนของโจทก์ทั้งสามใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างระหว่างถูกเลิกจ้าง เพราะโจทก์ทั้งสามถูกลงโทษฐานผิดวินัยอย่างร้ายแรงให้ออกจากงาน โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าช่วยเหลือบุตร เงินค่าบำรุงการศึกษาของบุตร รวมทั้งเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในระหว่างถูกเลิกจ้าง ทั้งไม่เป็นผู้มีสิทธิได้รับการพิจารณาบำเหน็จประจำปี เพราะระหว่างที่โจทก์ทั้งสามถูกเลิกจ้างจนถึงวันกลับเข้าทำงานโจทก์ทั้งสามไม่ใช่พนักงานของจำเลย โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิได้รับการปรับปรุงโครงสร้างอัตราเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรีและคำสั่งองค์การจำเลยในระหว่างที่ถูกเลิกจ้างจนถึงวันกลับเข้าทำงานเพราะโจทก์ทั้งสามไม่มีอัตราเงินเดือนครองอยู่ในเวลาปรับปรุงโครงสร้างเงินเดือนโดยได้พ้นจากหน้าที่ไปแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราค่าจ้างเดิม ระหว่างถูกเลิกจ้างโจทก์ไม่มีฐานะเป็นพนักงานของจำเลย พิพากษายกฟ้อง
ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างทำความเห็นแย้งว่า ตั้งแต่วันที่ถูกเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงาน การเป็นพนักงานมิได้สิ้นสุด ฉะนั้นค่าเสียหาย ค่าบำเหน็จประจำปี และการปรับอัตราเงินเดือนของโจทก์ทั้งสามจะต้องได้รับตามฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อบังคับองค์การผลิตอาหารสำเร็จรูปฯ ว่าด้วยระเบียบวินัยของพนักงานฯ ระบุใจความสำคัญว่า เมื่อพนักงานขององค์การผู้ใดมีกรณีต้องหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการเพื่อสอบสวน ถ้าผู้บังคับบัญชาที่พนักงานองค์การผู้นั้นสังกัดเห็นว่ามีมลทินหรือมัวหมอง จะให้คงอยู่ในหน้าที่การงานระหว่างที่พิจารณาหรือสอบสวนจะเป็นการเสียหายแก่การงานและเห็นสมควรให้ออกจากงาน ก็ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ผู้นั้นออกจากงานไว้ก่อนได้ แต่ถ้าภายหลังสอบสวนพิจารณาได้ความเป็นสัตย์ ปรากฏว่าไม่มีมลทิน หรือมัวหมอง ก็ให้ผู้บังคับบัญชาที่เป็นผู้สั่งให้ออกจากงานสั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าทำงาน ในกรณีที่สั่งให้กลับเข้าทำงานเท่าที่เกี่ยวกับเงินเดือนให้ผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างที่ถูกสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อนนั้น ข้อเท็จจริงคดีนี้ได้ความว่าผลการสอบสวนโจทก์ทั้งสามกระทำผิดจริง กรรมการสอบสวนมีความเห็นว่าควรให้โจทก์ทั้งสามออกจากงานจำเลย จึงมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสามออกจากงานตามความเห็นของกรรมการ ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยสั่งให้โจทก์ทั้งสามออกจากงานเพราะโจทก์ทั้งสามกระทำผิดวินัย ภายหลังจากที่ได้สอบสวนความผิดแล้ว ฉะนั้น การที่จำเลยรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และอัตราค่าจ้างเดิมตามคำพิพากษาของศาล หาทำให้โจทก์ทั้งสามมีสิทธิได้รับค่าจ้างระหว่างที่ถูกเลิกจ้างตามข้อบังคับของจำเลยดังกล่าวไม่
ผู้ที่จะมีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือบุตร เงินค่าการศึกษาของบุตร ค่ารักษาพยาบาล และการพิจารณาบำเหน็จหรือเลื่อนขั้นเงินเดือนตามข้อบังคับและระเบียบขององค์การผลิตอาหารสำเร็จรูปนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีฐานะเป็นพนักงานของจำเลยด้วย จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสามออกจากงานหลังจากได้ตั้งกรรมการสอบสวนความผิดโดยแน่ชัดแล้วอันเป็นการปฏิบัติไปตามขั้นตอนของระเบียบข้อบังคับจำเลย จึงมีผลให้โจทก์ทั้งสามต้องพ้นจากฐานะเป็นพนักงานของจำเลยแล้ว แม้ต่อมาศาลแรงงานกลางจะพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และอัตราค่าจ้างเดิมและนับอายุงานติดต่อกัน ก็หาได้หมายความว่าในระหว่างที่ถูกเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามยังคงมีฐานะเป็นพนักงานของจำเลยไม่ เมื่อโจทก์ทั้งสามไม่มีฐานะเป็นพนักงานของจำเลยจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าช่วยเหลือบุตร เงินค่าการศึกษาของบุตร เงินค่ารักษาพยาบาล และการพิจารณาบำเหน็จเลื่อนขั้นเงินเดือนตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยในระหว่างที่ถูกเลิกจ้าง
มติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจใช้โครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้างใหม่ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2525 เป็นต้นไปนั้น มีความหมายว่า มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อจะปรับเงินเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่พนักงานและลูกจ้างของจำเลยที่ยังมีสภาพเป็นพนักงานและลูกจ้างอยู่ในวันที่คณะรัฐมนตรีลงมติอนุมัติ หาใช่ให้ปรับอัตราเงินเดือนแก่พนักงานและลูกจ้างที่พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานและลูกจ้างไปแล้วในวันที่มติคณะรัฐมนตรีมีผลใช้บังคับไม่ โจทก์ทั้งสามพ้นจากตำแหน่งพนักงานของจำเลยเพราะจำเลยเลิกจ้างตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2524 และจำเลยรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2525 ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวโจทก์ทั้งสามหมดสภาพการเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยและไม่มีอัตราเงินเดือนประจำอยู่ในขณะนั้นแล้ว โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีสิทธิได้รับการปรับอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างตามมติคณะรัฐมนตรี
พิพากษายืน