แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินสายนครสวรรค์ – ตากฯ พ.ศ.2509 บัญญัติให้อธิบดีกรมทางหลวงเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกรมทางหลวงจำเลยที่ 1 ได้แต่งตั้งกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว กรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นจึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในฐานะอธิบดีกรมทางหลวงและเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชบัญญัตินี้
กรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มีหน้าที่ไกล่เกลี่ยเจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืนให้ตกลงกันในเรื่องจำนวนเงินค่า ทดแทนตามมาตรา 18, 22, 25, 26 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2497 จึงเห็นได้ว่ากรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ย่อมมีหน้าที่กำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืนด้วย
ที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน กรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้ประชุมกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนให้แก่โจทก์ ตารางวาละ 1,000 บาท รวมเป็นเงิน 399,000 บาท โจทก์ตกลงยอมรับ และคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์กับโจทก์ได้ทำสัญญาจ่ายเงินค่าทดแทนกันไว้แล้ว กรมทางหลวงจำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ตามนั้น จะอ้างว่าจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้อนุมัติตามข้อตกลง และยับยั้งไม่จ่ายเงินดังกล่าวหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๐๙ ได้มีพระบรมราชโองการประกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษาให้ใช้พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อเวนคืน อสังหาริมทรัพย์ในท้องที่อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ให้แก่กรมทางหลวงเพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินสายนครสวรรค์ – ตาก และที่ดินโจทก์ตามโฉนดเลขที่ ๑๑๘๕๐ ได้ถูกเวนคืนคิดเป็นเนื้อที่ ๓ งาน ๙๙ ตารางวา ครั้นเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๑๒ คณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยชอบด้วยกฎหมายอันประกอบด้วยนายช่างแขวง การทางนครสวรรค์ผู้แทนกรมทางหลวงแผ่นดิน นายอำเภอเมืองนครสวรรค์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ ได้ทำสัญญากับโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงยอมจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ในราคาตารางวาละ ๑,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๓๙๙,๐๐๐ บาท โจทก์ได้แบ่งแยกที่ดินที่ถูกเวนคืนออกจากโฉนดเดิมให้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๑๒ จำเลยที่ ๒ เป็นช่างแขวงการทางนครสวรรค์ได้เสนอเรื่องราวขอรับเงินค่าทดแทนของโจทก์ต่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอธิบดีกรมทางหลวง สังกัดกระทรวงคมนาคม เพื่ออนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ตามมติคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว แต่จำเลยทั้งสองขอผัดชำระเงินค่าทดแทนเรื่อยมา โจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่ดินจำนวน ๓๙๙,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันโอนที่ดิน จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จึงขอให้จำเลยทั้งสองใช้เงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงสายนครสวรรค์ – ตาก มีอำนาจพิจารณาสั่งจ่ายเงินให้เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืนจากมติคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ แต่คณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จะบันทึกตกลงเรื่องราคาค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนได้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากจำเลยที่ ๑ ก่อน โจทก์ทราบดีว่าบันทึกข้อตกลงของโจทก์จำนวน ๓๙๙,๐๐๐ บาท ยังไม่มีผลบังคับและไม่ผูกพันจำเลยที่ ๑ เพราะคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ได้เสนอให้จำเลยที่ ๑ เห็นชอบด้วยเสียก่อน และจำเลยทั้งสองไม่ใช่คู่กรณีหรือมีส่วนรู้เห็นในการทำบันทึกข้อตกลงนั้น คณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามบันทึกนั้นไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยทั้งสอง ทั้งจำเลยทั้งสองไม่เคยยอมจ่ายเงินหรือผัดการจ่ายเงินตามบันทึกท้ายฟ้อง โดยจำเลยที่ ๒ เพิ่งมาดำรงตำแหน่งนายช่างแขวงการทางนครสวรรค์ภายหลังทำบันทึกข้อตกลงท้ายฟ้องแล้ว และปรากฏว่าโจทก์เคยเสนอขอรับเงินค่าทดแทนจำนวนใหม่ โดยสละข้อตกลงในบันทึกท้ายฟ้องแล้ว ค่าทดแทนของโจทก์ที่มีสิทธิได้รับเงินตามที่จำเลยที่ ๑ เห็นชอบตามมติคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ คือ ๑๑๐,๙๒๒ บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินค่าทดแทนตามสัญญาฉบับลงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๑๒ เป็นเงิน ๓๙๙,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๑๒ จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ ๗,๕๐๐ บาทแทนโจทก์ด้วย ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความสำหรับจำเลยที่ ๒ เป็นพับไป
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อปี ๒๕๐๙ มีพระบรมราชโองการให้ใช้พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินสายนครสวรรค์ – ตาก ในท้องที่อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ โดยจำเลยที่ ๑ ในฐานะอธิบดีกรมทางหลวงเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ และนายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ดังกล่าวตามพระราชบัญญัติดังกล่าวคือ นายช่างโทแขวงการทางนครสวรรค์ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ กับนายอำเภอเมืองนครสวรรค์ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่กระทรวงหมาดไทย ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ ๑๑๘๕๐ ได้ถูกเวนคืนเพื่อสร้างหลวงแผ่นดินสายดังกล่าวจำนวนเนื้อที่ ๓ งาน ๙๙ ตารางวา กรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวได้ประชุมกำหนดราคาทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนของโจทก์ในอัตราตารางวาละ ๑,๐๐๐ บาท คิดเป็นเงินที่โจทก์จะได้รับเป็นค่าทดแทนทั้งสิ้น ๓๙๙,๐๐๐ บาท โจทก์ตกลงรับเงินค่าทดแทนจำนวนนี้ คณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์กับโจทก์จึงได้ทำสัญญาจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่ากรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยเจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืนให้ตกลงกันในเรื่องจำนวนเงินค่าทดแทน ตามมาตรา ๑๘, ๒๒, ๒๕, ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.๒๔๙๗ ซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่ากรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวมีหน้าที่กำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ ถูกเวนคืนด้วยโดยถือว่ากรรมการเวนคืนอสังริมทรัพย์เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ในฐานะเป็นอธิบดีกรมทางหลวงและเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.๒๕๐๙ ดังนั้น เมื่อกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ประชุมกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนให้แก่โจทก์ และโจทก์ยอมรับเอาค่าทดแทนจำนวนดังกล่าว กรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์และโจทก์ได้ทำสัญญาจ่ายเงินทดแทนจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้วนั้น จำเลยที่ ๑ จึงต้องผูกพันจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนให้แก่โจทก์ตามฟ้อง จำเลยที่ ๑ จะอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้อนุมัติตามบันทึกข้อตกลงและยับยั้งไม่จ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์เรียกร้องตามฟ้องหาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน