คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2317/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดจำเลยที่ 1ได้ควบคุมการก่อสร้างบ้านพักครูหลังที่ 2 และที่ 3 ไปจนถึงขั้นทำคานชั้นบนเสร็จแล้วจำเลยที่ 3 จึงทราบว่าบ้านพักครูหลังที่ 2และที่ 3 ได้ก่อสร้างอยู่ในที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยที่ 3 ยังขืนสร้างต่อไปจนเสร็จนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ก่อสร้างบ้านพักครู2 หลังนี้ในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1311โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 รวมกันรื้อถอนบ้านพักครูออกไปจากที่ดินของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนอาคารบ้านพักครูสองหลังครึ่งออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 55แล้วส่งมอบให้โจทก์โดยห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไป และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามฟ้อง 100,407 บาท กับค่าเสียหายอีกเป็นรายเดือน เดือนละ 180 บาท
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้เช่าที่ดินของกรมการศาสนาแปลงโฉนดเลขที่ 4302 เพื่อสร้างโรงเรียนและบ้านพักครู ที่ดินบริเวณส่วนที่มีการก่อสร้างบ้านพักครู 2 หลังครึ่งรุกล้ำจากเขตที่ดินซึ่งจำเลยที่ 1 เช่าไว้นั้นเป็นที่ดินของกรมการศาสนาและโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ฟ้องโจทก์ในส่วนค่าเสียหายขาดอายุความขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3รื้อถอนบ้านพักครู 2 หลังที่ปลูกสร้างอยู่ในที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 55 ตำบลบางคูเวียง (บางราวนก) อำเภอบางกรวย (บางใหญ่)จังหวัดนนทบุรี ออกไปจากที่ดินของโจทก์ โดยห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินส่วนดังกล่าวอีกต่อไป และให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 180 บาทนับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2525 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อบ้านพักครูทั้งสองหลังนั้นและส่งมอบที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 55 ตำบลคูเวียงอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ที่ดินส่วนของโจทก์ทางด้านทิศเหนือติดที่ดินโฉนดเลขที่ 4302 ซึ่งเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดกลางสวนจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าที่ธรณีสงฆ์ วัดกลางสวนดังกล่าวจากกรมการศาสนา เพื่อสร้างโรงเรียนวัฒนโชติศรีบุญญาคมกับบ้านพักครูโดยจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างหลังจากมีการปรับที่ดินและสร้างบ้านพักครูหลังแรกเสร็จไปแล้วประมาณกลางปี 2524 ได้มีการรังวัดสอบเขตที่ดินของวัดกลางสวนปรากฏว่าที่ดินที่จำเลยที่ 1 เช่าวัดกลางสวนในบริเวณที่ใช้ปลูกบ้านพักครู มิได้อยู่ในเขตที่ดินของวัดกลางสวน แต่อยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 55 ของโจทก์ บ้านพักครูหลังแรกนั้นได้สร้างขึ้นในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต ส่วนหลังที่ 2 และหลังที่ 3 นั้นได้สร้างขึ้นโดยจำเลยที่ 3 เข้าใจว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของกรมการศาสนา แต่ในขณะที่บ้านพักครูหลังที่ 2 และที่ 3 ยังสร้างไม่เสร็จ จำเลยที่ 3 ได้ทราบแล้วว่า บ้านพักครูหลังที่ 2 และที่ 3สร้างอยู่ในที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยที่ 3 ก็ได้ทำการก่อสร้างต่อไปจนแล้วเสร็จ ปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 มีว่า การปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตนั้น จะถือเอาความสุจริตในขณะลงมือก่อสร้างจนถึงขั้นที่ไม่อาจรื้อถอนได้โดยใช้เงินพอสมควร เพราะได้ทำคานชั้นบนเสร็จแล้ว หรือจะต้องเป็นการกระทำโดยสุจริตตั้งแต่ลงมือก่อสร้างจนกระทั่งสร้างเสร็จสมบูรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 3 สร้างบ้านพักครูหลังที่ 2 และที่ 3 ไปจนถึงขั้นทำคานชั้นบนเสร็จแล้วจำเลยที่ 3จึงทราบว่าบ้านพักครูหลังที่ 2 และที่ 3 ได้ก่อสร้างอยู่ในที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยที่ 3 ยังขืนสร้างต่อไปจนเสร็จนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ก่อสร้างบ้านพักครู 2 หลังนี้ในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1311ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share