แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยออกไปจากที่ดินโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งห้าบุกรุก เป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลในกรณีอื่นออกจากอสังหาริมทรัพย์ ไม่ปรากฏว่าขณะยื่นฟ้องที่ดินโจทก์จะให้เช่าได้เกิดเดือนละ 5,000 บาท และจำเลยทั้งห้าให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของ ฉ.จำเลยทั้งห้าครอบครองโดยอาศัยสิทธิฉ. ซึ่งถือไม่ได้ว่าเป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง.
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นน้องของโจทก์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นบุตรของโจทก์ โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลงเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 6 ตำบลท่าเยี่ยมอำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา โดยบิดามารดายกให้เมื่อประมาณ40 ปีมานี้ โจทก์ได้เข้าก่อสร้างและครอบครองที่ดินอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาโดยสงบและเปิดเผย เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2528 จำเลยที่ 1 ได้บุกรุกเข้าไปทำนาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปทำนาทางด้านทิศตะวันตกเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ โจทก์ห้ามปรามแล้วจำเลยทั้งห้าไม่เชื่อฟัง ขอให้จำเลยทั้งห้าและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่พิพาทตามฟ้อง ที่ดินที่โจทก์อ้างตามฟ้องเป็นของนายโฉม แคลนกระโทกซึ่งเป็นบิดาของโจทก์และจำเลยที่ 1 นายโฉมไม่เคยยกที่ดินแปลงนี้ให้แก่ผู้ใด จำเลยทั้งห้าเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาประมาณ 10 ปีเศษแล้วโดยอาศัยสิทธิของนายโฉม เมื่อประมาณต้นปี 2528นายโฉมต้องการจะแบ่งที่ดินให้แก่ลูก ๆ โดยยกให้โจทก์ 30 ไร่โจทก์ไม่พอใจ จึงฟ้องคดีนี้ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่วันที่มีการแบ่งการครอบครอง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ถึงแก่กรรมนางเหรียญ แคลนกระโทก ภริยายื่นคำร้องขอรับมรดกความ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยออกไปจากที่ดินโจทก์ อ้างว่าจำเลยทั้งห้าบุกรุกเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลในกรณีอื่นออกจากอสังหาริมทรัพย์ไม่ปรากฏว่าขณะยื่นฟ้องที่ดินโจทก์อาจให้เช่าได้เกินเดือนละ 5,000 บาท และจำเลยทั้งห้าให้การต่อสู้เช่นเดียวกันว่า ที่พิพาทเป็นของนายโฉม แคลนกระโทก จำเลยทั้งห้าครอบครองโดยอาศัยสิทธินายโฉม ซึ่งถือไม่ได้ว่าเป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ฎีกาของโจทก์ที่โต้เถียงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยทั้งห้าเข้าแย่งการครอบครองยังไม่เกิน 1 ปีนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาโจทก์.