คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2317/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์และได้รับเงินกู้ไปแล้ว การที่โจทก์นำสืบว่าเดิมสามีจำเลยกู้เงินโจทก์ไป จำเลยรู้เห็นด้วย เมื่อสามีจำเลยถึงแก่กรรมจำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ให้โจทก์ไว้ แต่จำเลยไม่ชำระเงินตามสัญญากู้นั้น จึงเป็นการนำสืบถึงมูลหนี้ของสัญญากู้ซึ่งโจทก์มีสิทธินำสืบได้โดยไม่ต้องบรรยายไว้ในคำฟ้องและไม่เป็นการนำสืบแตกต่างจากคำฟ้อง
โจทก์ฟ้องคดีโดยแนบสำเนาหนังสือสัญญากู้มาท้ายฟ้อง เมื่อคำให้การและทางนำสืบจำเลยยอมรับว่าได้ทำหนังสือสัญญากู้ฉบับพิพาทไว้ให้โจทก์จริง ดังนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยแล้วว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้ตามฟ้อง กรณีไม่จำต้องยกเอกสารสัญญากู้ฉบับพิพาทขึ้นวินิจฉัย โจทก์จึงไม่จำต้องเสียค่าอ้างเอกสารสัญญากู้ฉบับพิพาทดังกล่าว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ตามสำเนาหนังสือสัญญากู้ท้ายฟ้อง ถึงกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้ดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ ความจริงคือโจทก์ซึ่งเป็นบิดาสามีจำเลยให้จำเลยทำสัญญากู้ไว้เนื่องจากสามีจำเลยถึงแก่กรรม โจทก์กลัวว่าจำเลยจะไม่แบ่งทรัพย์มรดกของสามีจำเลยให้ โจทก์จำเลยตกลงกันว่าเมื่อจำเลยขายมรดกของสามีจำเลยได้แล้ว จะมอบเงินให้โจทก์ แต่ยังขายมรดกไม่ได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไป ๓๐,๐๐๐ บาท และได้รับเงินกู้ไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ข้อนำสืบของโจทก์จึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงและแตกต่างจากฟ้องนั้น เห็นว่าโจทก์นำสืบถึงมูลหนี้เดิมว่าจ่าอากาศตรีสมศักดิ์ กรพิพัฒน์ สามีของจำเลยกู้เงินโจทก์ไป ๓๐,๐๐๐ บาท จำเลยก็รู้เห็นด้วย เมื่อจ่าอากาศตรีสมศักดิ์ถึงแก่กรรมจำเลยจึงทำหนังสือสัญญากู้ฉบับพิพาทให้โจทก์ไว้ และรับว่าจะชำระเงินตามสัญญากู้ให้เมื่อขายที่ดินมรดกของจ่าอากาศตรีสมศักดิ์ได้เงินแล้ว แต่เมื่อจำเลยขายที่ดินมรดกดังกล่าวได้เงินมา จำเลยไม่ชำระเงินตามสัญญากู้ให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยตามสัญญากู้ได้ โดยไม่จำต้องบรรยายในคำฟ้องถึงมูลหนี้เดิมซึ่งระงับไปแล้ว และการที่โจทก์นำสืบถึงมูลหนี้ก่อนที่จำเลยจะทำสัญญากู้ฉบับพิพาทไว้ให้แก่โจทก์ ก็หาเป็นการแตกต่างจากคำฟ้องไม่ ทั้งการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังว่าเป็นเรื่องแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ก็มิใช่เป็นเรื่องนอกสำนวนดังที่จำเลยฎีกา ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องกู้ยืม ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้ (จำเลย) จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ แต่โจทก์มิได้เสียค่าอ้างเอกสาร ศาลจึงรับฟังเอกสารที่โจทก์อ้างไม่ได้ เท่ากับโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม จึงฟ้องบังคับคดีไม่ได้นั้น เห็นว่า ในการฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้แนบสำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมซึ่งมีลายมือชื่อจำเลยลงชื่อเป็นผู้กู้มาท้ายฟ้อง ทั้งตามคำให้การของจำเลยและทางนำสืบ จำเลยก็ยอมรับว่าได้ทำหนังสือสัญญากู้ฉบับพิพาทไว้ให้โจทก์จริง ฉะนั้น กรณีจึงไม่จำต้องหยิบยกเอกสารที่โจทก์ไม่ได้เสียค่าอ้างขึ้นวินิจฉัย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยอยู่แล้วว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้ตามฟ้องและโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีได้
พิพากษายืน.

Share