แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินที่เป็นสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2)นั้น หาจำต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศเขตที่ดินเพื่อสงวนไว้เป็นที่ดินสาธารณะก่อนไม่ การที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองก่นสร้างที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเป็น การฝ่าฝืนประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิศาลที่มีอำนาจชำระคดีรวมทั้งศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยว่าที่ดินตามฟ้องเป็นที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันหรือไม่ เพราะเป็นองค์ความผิดตามบทมาตราที่โจทก์อ้างหาใช่เรื่องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินไปจากที่โจทก์กล่าวในฟ้องไม่ ส่วนกฎกระทรวงฉบับที่ 26(พ.ศ. 2516) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ข้อ 2 ตอนท้ายที่ระบุว่า” ถ้ามีผู้คัดค้านให้อธิบดีรอการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงไว้จนกว่าจะได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแสดงว่าผู้คัดค้านไม่มีสิทธิในที่ดินนั้น” มีความหมายว่าการพิสูจน์สิทธิของผู้คัดค้านเป็นเพียงเงื่อนไขในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเท่านั้น หาได้กำหนดว่าจะต้องเสนอเป็นคดีแพ่งเพื่อให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดไม่ การฟ้องจำเลยในคดีนี้จึงเป็นการพิสูจน์สิทธิในที่ดินไปในตัว เท่ากับได้ดำเนินการตามกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวแล้ว การที่ต่อมามีพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันมีผลเป็นเพียงทำให้ที่ดินที่จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองนั้นไม่มีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันอีกต่อไปตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับเท่านั้น มิใช่กฎหมายที่บัญญัติให้การเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันไม่เป็นความผิดต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้บุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองก่นสร้างที่ดินของรัฐซึ่งเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันเป็นที่ดินสำหรับเลี้ยงสัตว์ โดยจำเลยทั้งสองได้ก่นสร้างและปลูกสร้างบ้านเป็นที่อยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าว เนื้อที่ประมาณ 1 งาน และ 23 ไร่ ตามลำดับ ทั้งนี้จำเลยทั้งสองมิได้มีสิทธิครอบครอง และมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เหตุเกิดที่ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัวจังหวัดนครสวรค์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิและให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินของรัฐด้วย
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ (ที่ถูกมาตรา 108 ทวิ วรรคสอง)ลงโทษจำคุกคนละ 2 เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท พิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดี และสภาพแห่งความผิดประกอบกับไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 และให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินของรัฐ
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ที่ดินตามแผนที่เอกสารหมาย จ.12 เป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้เป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ร่วมกันมาก่อนจึงมีสภาพเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304(2) หาจำต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศเขตที่ดินเพื่อสงวนไว้เป็นที่ดินสาธารณะไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้างที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ ศาลที่มีอำนาจชำระคดีรวมทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันหรือไม่ เพราะเป็นองค์ความผิดตามบทมาตราที่โจทก์อ้างหาใช่เรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาเกินไปจากที่โจทก์กล่าวในฟ้องดังฎีกาของจำเลยไม่ ส่วนกฎกระทรวงฉบับที่จำเลยอ้างข้อ 2 ตอนท้ายที่ระบุว่า ” ถ้ามีผู้คัดค้าน ให้อธิบดีรอการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงไว้จนกว่าจะได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแสดงว่า ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิในที่ดินนั้น” มีความหมายว่าการพิสูจน์สิทธิของผู้คัดค้านเป็นเพียงเงื่อนไขในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเท่านั้นหาได้กำหนดว่าจะต้องเสนอเป็นคดีแพ่งเพื่อให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดไม่ การฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้จึงเป็นการพิสูจน์สิทธิในที่ดินไปในตัว เท่ากับได้ดำเนินการตามกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวแล้ว ทั้งการที่จะดำเนินการตามกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวหรือไม่หาเกี่ยวข้องหรือกระทบต่ออำนาจฟ้องของโจทก์ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
จำเลยทั้งสองฎีกาในข้อต่อไปว่า ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นมีพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัวจังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. 2533 การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้องอีกต่อไป เห็นว่า จำเลยมีความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐซึ่งเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันโดยมิได้รับอนุญาต หรือมีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง แม้ต่อมาจะมีพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ดังกล่าว พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเพียงแต่มีผลทำให้ที่ดินที่จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองนั้นไม่มีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันอีกต่อไปตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับเท่านั้นมิใช่กฎหมายที่บัญญัติให้การเข้าไปยึดถือ ครอบครองที่ดินของรัฐซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันไม่เป็นความผิดต่อไป ตามมาตรา2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อพิพาทในที่ดินไม่จัดให้จำเลยทั้งสองเข้าซื้อที่ดินที่จำเลยทั้งสองครอบครองอยู่ก่อน เป็นการขัดต่อมมติ ของคณะรัฐมนตรีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลเป็นอย่างอื่นได้ฎีกาข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน