แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 27 บัญญัติถึงกำหนดโทษสำหรับความผิดฐานหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลไว้ว่า ฯลฯ สำหรับความผิดครั้งหนึ่งๆ ให้ปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาของ ซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว ฯลฯ” บทบัญญัตินี้มิได้จำกัดว่า ค่าอากรนั้นให้คิดเฉพาะค่าอากรที่เสียขาดไป จึงย่อมหมายถึงค่าอากรทั้งหมดสำหรับของนั้น อย่างไรก็ดีคำว่า “ค่าอากร” ตามบทบัญญัติดังกล่าว หมายถึงค่าอากรในทางศุลกากรเท่านั้น ไม่หมายความรวมถึงภาษีการค้า อันเป็นภาษีอากรฝ่ายสรรพากร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ชำระบัญชีบริษัทมีชื่อ จำเลยได้บังอาจยื่นใบขนสินค้าทำคำสำแดงเป็นความเท็จ โดยจำเลยขอรับสินค้าเข้าและเสียภาษีหมึกพิมพ์ ๑๒๖ กล่อง น้ำหนัก ๓,๗๘๐ กิโลกรัม อากรขาเข้า ๗,๕๖๐ บาท ภาษีการค้า ๒๔,๓๓๔.๙๕ บาท ซึ่งความจริงมีทั้งหมึกพิมพ์ ๖๗ กล่อง น้ำหนักสุทธิ ๒,๐๑๐ กิโลกรัม และแลคเกอร์ ๕๙ กล่อง น้ำหนักสุทธิ ๑,๗๗๐ กิโลกรัม ซึ่งต้องเสียภาษีอากรขาเข้าทั้งหมด ๘๓,๐๔๕.๘๗ บาท กับภาษีการค้าทั้งหมด ๒๗,๒๑๐.๕๘ บาท จากการสำแดงเท็จของจำเลยเป็นเหตุให้จำเลยเสียค่าอากรขาเข้าขาดไป ๓๕,๔๘๕.๘๗ บาท และเสียภาษีการค้าซึ่งเมื่อลดแล้วขาดไป ๒,๘๑๘.๑๒ บาท ทั้งนี้โดยจำเลยตั้งใจหลีกเลี่ยงอากรขาเข้าและภาษีการค้าให้น้อยลง และโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาล ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๙๙, ๒๗, ๑๐๒ ตรีฯ และสั่งให้จ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานที่จับกุมตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษฐานหลีกเลี่ยงการเสียภาษีโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาล ซึ่งเป็นบทหนัก ให้ปรับ ๑,๕๐๓,๕๕๐.๒๘ บาท ลดกึ่งหนึ่ง คงปรับ ๗๕๑,๗๗๕.๑๔ บาท บังคับค่าปรับตามกฎหมาย จ่ายเงินรางวัลให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งจับกุมตามกฎหมาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ปรับ ๓๖๔,๗๕๐.๙๘ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาในชั้นนี้เฉพาะเรื่องโทษปรับที่จะลงแก่จำเลยในความผิดฐานหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาล ว่าจะคำนวณโทษปรับจากค่าอากรทั้งหมดสำหรับของที่หลีกเลี่ยงการเสียภาษีหรือจากค่าอากรที่เสียขาดไป ได้ความว่าจำเลยสั่งซื้อสินค้าจากบริษัทในประเทศญี่ปุ่น เมื่อสินค้าได้ส่งมาถึงประเทศไทยแล้วจำเลยได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการค้าพร้อมใบอินวอยซ์ต่อพนักงานศุลกากร สำแดงรายการว่าสินค้าจำนวน ๑๒๖ กล่องเป็นหมึกพิมพ์ล้วน แต่ความจริงเป็นหมึกพิมพ์เพียง ๖๗ กล่อง ส่วนอีก ๕๙ กล่องเป็นแลคเคอร์ราคา ๑๓๐,๐๘๖.๒๓ บาท ซึ่งต้องเสียอากรขาเข้าเป็นเงิน ๓๙,๐๒๕.๘๗ บาท และเสียภาษีการค้าเป็นเงิน ๑๓,๒๕๘.๓๙ บาท การที่จำเลยสำแดงรายการสินค้าว่าเป็นหมึกพิมพ์ด้วย เป็นเหตุให้จำเลยเสียอากรขาเข้าขาดไป ๓๕,๔๘๕.๘๗ บาท และเสียภาษีการค้าขาดไป ๒,๘๑๘.๑๒ บาท พิเคราะห์แล้วพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓ บัญญัติถึงกำหนดโทษปรับสำหรับความผิดฐานหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลไว้ว่า “ฯลฯ สำหรับความผิดครั้งหนึ่งๆ ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของ ซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว ฯลฯ” เห็นว่าบทบัญญัตินี้มิได้จำกัดว่าค่าอากรนั้นให้คิดเฉพาะค่าอากรที่เสียขาดไป จึงย่อมหมายถึงอากรทั้งหมดสำหรับของนั้น กรณีเป็นเรื่องกฎหมายบัญญัติให้นำราคาของ++ค่าอากรมาเป็นหลักในการกำหนดอัตราโทษปรับ มิใช่เพื่อให้ผู้กระทำผิดชำระค่าอากรจึงจะแปลว่ากฎหมายมุ่งหมายให้คิดเฉพาะค่าอากรที่ขาดเสียมิได้ ฎีกาของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่าคำว่า “ค่าอากร” ตามบทบัญญัติดังกล่าวหมายถึงค่าอากรในทางศุลกากรเท่านั้น หาหมายรวมถึงภาษีการค้าอันเป็นภาษีอากรในทางศุลกากรเท่านั้น หาหมายรวมถึงภาษีการค้าอันเป็นภาษีอากรฝ่ายสรรพากรด้วยไม่ ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย คดีนี้แลคเคอร์ที่จำเลยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรราคา ๑๓๐,๐๘๖.๒๓ บาท ต้องเสียอากรขาเข้าเป็นเงิน ๓๙,๐๒๕.๘๗ บาท รวมราคาของกับค่าอากรเข้าด้วยกันเป็นเงิน ๑๖๙,๑๑๒.๑๐ บาท ลงโทษปรับสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วจึงเป็นเงิน ๖๗๖,๔๔๘.๔๐ บาท ที่ศาลอุทธรณ์นำภาษีการค้าสำหรับแลคเคอร์มารวมเป็นค่าอากรอีกจำนวนหนึ่งศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลย ๖๗๖,๔๔๘.๔๐ บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ คงปรับ ๓๓๘,๒๒๔.๒๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์