คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้พิจารณาตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งถึงกำหนดใช้เงินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์2531ถึงเดือนพฤษภาคม2531เป็นหลักและโจทก์ผู้รับเงินซึ่งนำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายลดแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชำระเงินคืนแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนกำหนดเมื่อวันที่9กุมภาพันธ์2531และโจทก์ไปขอรับชำระหนี้ในคดีที่บริษัทผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินถูกฟ้องล้มละลายเมื่อวันที่27ตุลาคม2531ก็ตามอายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/14(3)ซึ่งเป็นเวลา8เดือนเศษกรณีระหว่างโจทก์กับบริษัทเป็นเรื่องระหว่างผู้ออกตั๋วกับผู้รับเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา982อายุความฟ้องบริษัทคือมาตรา1001ซึ่งห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลา3ปีนับแต่วันตั๋วนั้นถึงกำหนดใช้เงินอันมีผลไปถึงผู้ค้ำประกันด้วยและแม้โจทก์จะสลักหลังตั๋วนำไปขายลดแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยและใช้เงินคืนแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยพร้อมรับตั๋วคืนมาถึงวันที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเกินกว่า6เดือนก็ตามก็เป็นกรณีที่โจทก์ปฏิบัติตามระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการส่งสินค้าออก(ฉบับที่2)พ.ศ.2529อันเป็นการอนุเคราะห์ผู้ส่งออกให้ได้รับเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียงร้อยละ7ต่อปีโจทก์จึงไม่ใช่ผู้สลักหลังผู้เข้าถือตั๋วสัญญาใช้เงินและใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1003ซึ่งมีอายุความ6เดือนคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทเอเซียเทรดเดอร์คอมแพคซ์ จำกัด เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาขอสินเชื่อประเภทแพ็คกิ้งเครดิตและสัญญาเบิกเงินล่วงหน้าเพื่อเลตเตอร์ออฟเครดิต โดยมีจำเลยที่ 1 และที่ 2 และนายบุญ ปิยะวัฒนานนท์ เป็นผู้ค้ำประกันอย่างลูกหนี้ร่วมนายบุญได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2534 จำเลยที่ 3และที่ 4 ในฐานะทายาทโดยธรรมและเป็นผู้รับมรดกของผู้ตายจึงต้องร่วมรับผิดแทนผู้ตายบริษัทเอเซียเทรดเดอร์คอมแพคซ์จำกัด ได้ถูกศาลแพ่งมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่27 ตุลาคม 2531 ซึ่งโจทก์ได้นำหนี้ดังกล่าวไปยื่นขอชำระหนี้แล้วและศาลมีคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้ แต่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระบริษัทกับผู้ตายและจำเลยทั้งสี่เป็นหนี้โจทก์ โดยเมื่อวันที่6 กันยายน 2528 บริษัทได้มาทำสัญญาขอสินเชื่อประเภทแพ็คกิ้งเครดิต(สินเชื่อเพื่อการซื้อหรือผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกไปยังต่างประเทศ)จากโจทก์ในวงเงิน 2,000,000 บาท ต่อมาวันที่ 21 มกราคม 2529บริษัททำสัญญาขอสินเชื่อประเภทแพ็คกิ้งเครดิตจากโจทก์อีกในวงเงิน3,000,000 บาท รวมเป็นวงเงิน 5,000,000 บาท เป็นสัญญาฉบับเลขที่ 178/2528 และฉบับเลขที่ 16/2529 ซึ่งสินเชื่อตามวงเงินดังกล่าวนี้ โจทก์ได้ตกลงอนุมัติวงเงินสินเชื่อดังกล่าวให้แก่บริษัทตามคำขอโดยมีจำเลยที่ 1 และผู้ตายเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ในฐานะส่วนตัว และยินยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในการเบิกเงินล่วงหน้าดังกล่าวนั้น บริษัทได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินสั่งจ่ายเงินตามจำนวนในหนังสือสัญญาเบิกเงินล่วงหน้าเพื่อเลตเตอร์ออฟเครดิตในแต่ละครั้ง ระบุระยะเวลาตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่จะครบกำหนดไว้ให้แก่โจทก์หรือตามคำสั่งเพื่อให้โจทก์นำตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวไปสลักหลังขายช่วงลดให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย โจทก์จ่ายเงินตามสัญญาการเบิกเงินล่วงหน้าเพื่อเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่บริษัทจนครบถ้วน บริษัทมาทำสัญญาเบิกเงินล่วงหน้าเพื่อเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาค้ำประกันตามตั๋วสัญญาใช้เงินกับโจทก์รวม 10 ฉบับ โดยตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสิบฉบับดังกล่าว มีผู้ตายและจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันอย่างลูกหนี้ร่วม ดังนั้น เมื่อคิดถึงวันฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2ในฐานะผู้ค้ำประกันอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 3 และที่ 4ในฐานะทายาทโดยธรรมผู้รับมรดกของผู้ตายเป็นหนี้เงินต้นโจทก์รวมเป็นเงิน 10,014,100 บาท กับดอกเบี้ย 7,135,856.39 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 17,149,956.39 บาท ซึ่งจำเลยทั้งสี่ยังไม่ชำระคืนแก่โจทก์ โจทก์ได้ทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 17,149,952.39 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 10,014,100บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
ก่อนสืบพยาน โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ 2 ให้การว่า บริษัทเอเซียเทรดเดอร์คอมแพคซ์ จำกัดจะได้ทำสัญญาขอสินเชื่อประเภทแพ็คกิ้งเครดิตในวงเงิน 2,000,000 บาทและ 3,000,000 บาท หรือไม่ ไม่รับรอง จำเลยที่ 2 ไม่เคยลงลายมือชื่อในตั๋วสัญญาใช้เงิน หนังสือสัญญาใช้เงิน หนังสือสัญญาเบิกเงินล่วงหน้าเพื่อเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาค้ำประกัน คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า นายบุญ ปิยะวัฒนานนท์ผู้ตาย มิได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้สินของบริษัทเอเซียเทรดเดอร์คอมแพคซ์ จำกัด การทำสัญญาค้ำประกันตามฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 3 และที่ 4 มิได้รับมรดกของผู้ตาย เพราะผู้ตายไม่มีทรัพย์มรดก จำเลยที่ 3 และที่ 4 ในฐานะทายาทของผู้ตายจึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน 14,044,675 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ของต้นเงิน 10,014,100 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน 17,149,956.39 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ของต้นเงิน 10,014,100 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า บริษัทเอเซียเทรดเดอร์คอมแพคซ์ จำกัด เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.3 เมื่อวันที่ 6 กันยายน2528 และวันที่ 21 มกราคม 2529 บริษัทดังกล่าวได้ทำสัญญาขอเครดิตประเภทแพ็คกิ้งเครดิตกับโจทก์ในวงเงิน 2,000,000 บาท และ3,000,000 บาท มีจำเลยที่ 1 และนายบุญ ปิยะวัฒนานนท์ ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทเป็นผู้ค้ำประกันในฐานะส่วนตัว ตามเอกสารหมาย จ.5ทั้งนี้เมื่อบริษัทได้รับคำสั่งซื้อข้าวสารจากต่างประเทศในแต่ละครั้ง บริษัทก็จะมาเบิกเงินไปซื้อข้าวสารเพื่อจะส่งออกไปโดยจะทำสัญญาเบิกเงินล่วงหน้าเพื่อเลตเตอร์ออฟเครดิตไว้กับโจทก์และออกตั๋วสัญญาใช้เงินตามจำนวนเงินที่เบิกไปโดยมีกำหนดระยะเวลาใช้เงินเป็นประกันแก่โจทก์หรือตามคำสั่งโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็จะนำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายลดให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย อันเป็นการสนับสนุนบริษัทผู้ส่งออกโดยคิดดอกเบี้ยต่ำในอัตราร้อยละ 7 ต่อปีแต่ถ้าผิดสัญญาจะถูกปรับร้อยละ 8 ต่อปี ตามระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการส่งสินค้าออก (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2529 เอกสารหมาย จ.7 ระหว่างวันที่14 ตุลาคม 2530 ถึงวันที่ 8 มกราคม 2531 บริษัทดังกล่าวได้ทำสัญญาเบิกเงินล่วงหน้าเพื่อเลตเตอร์ออฟเครดิต พร้อมกับออกตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 10 ฉบับ โดยระบุลายมือชื่อผู้ออกตั๋วลูกหนี้และผู้ค้ำประกันคือจำเลยที่ 2 และนายบุญพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัท ตามเอกสารหมาย จ.8 จ.9 จ.11 ถึง จ.17 และจ.41 บริษัทส่งข้าวสารออกไม่ครบตามสัญญา หักหนี้แล้วค้างต้นเงินที่จะใช้คืนโจทก์ 10,014,100 บาท และดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง7,135,856.39 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 17,149,956.39 บาท
ปัญหาตามฎีกาข้อที่สามว่าอายุความฟ้องคดีต้องวินิจฉัยจากตั๋วสัญญาใช้เงิน มิใช่จากสัญญาเบิกเงินล่วงหน้าเพื่อเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาค้ำประกันเป็นหลักเพราะมูลหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นประมูลหนี้ประธาน และนับแต่วันที่โจทก์ชำระเงินคืนแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยรับตั๋วสัญญาใช้เงินที่สลักหลังคืนถึงวันที่โจทก์ยื่นขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเป็นเวลาเกิน6 เดือน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า แม้พิจารณาตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.8 จ.9 จ.11 ถึง จ.17 และ จ.41ซึ่งถึงกำหนดใช้เงินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2531 ถึงเดือนพฤษภาคม2531 เป็นหลักและโจทก์ผู้รับเงินซึ่งนำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายลดแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชำระเงินคืนแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2531 และโจทก์ไปขอรับชำระหนี้ในคดีที่บริษัทผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินถูกฟ้องล้มละลายเมื่อวันที่27 ตุลาคม 2531 ก็ตาม อายุความย่อมสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(3) ซึ่งเป็นระยะเวลา8 เดือนเศษ กรณีระหว่างโจทก์กับบริษัทเป็นเรื่องระหว่างผู้ออกตั๋วกับผู้รับเงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 982อายุความฟ้องบริษัทคือมาตรา 1001 ซึ่งห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลา3 ปี นับแต่วันตั๋วนั้นถึงกำหนดใช้เงิน อันมีผลไปถึงผู้ค้ำประกันด้วย และแม้โจทก์จะสลักหลังตั๋วนำไปขายลดแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยและโจทก์ใช้เงินคืนแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมรับตั๋วคืนมาถึงวันที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเกินกว่า 6 เดือนก็ตาม ก็เป็นกรณีที่โจทก์ปฏิบัติตามระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการส่งสินค้าออก(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2529 อันเป็นการอนุเคราะห์ผู้ส่งออกให้ได้รับเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียงร้อยละ 7 ต่อปี ตามที่ปรากฏในตั๋วสัญญาใช้เงิน โจทก์ไม่ใช่ผู้สลักหลังผู้เข้าถือเอาตั๋วสัญญาใช้เงินและใช้เงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1003 ซึ่งมีอายุความ 6 เดือน คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share