แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มารดากับบุตรทำสัญญาจะขายทรัพย์มรดกรายเดียวกันให้แก่ผู้ซื้อ ถือว่า เป็นสัญญาไม่อาจแบ่งแยก ผู้ซื้อจะมาฟ้องบังคับผู้ขายคนใดคนหนึ่งมิได้
สัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งมีเงื่อนไขว่า ฝ่ายผู้ขายจะไปขอโอนใส่ชื่อผู้ขายเป็นเจ้าของแล้วจะโอนขายให้ผู้ซื้อใน 3 เดือนนั้น เมื่อผู้ขายยังไปโอนใส่ชื่อผู้ขายไม่ได้โดยมีอุปสรรคอยู่ หากผู้ซื้อมาฟ้องบังคับตามสัญญาจะซื้อขาย ดังนี้ ถือว่าผู้ซื้อมาฟ้องก่อนการเป็นไปตามเงื่อนไข
ย่อยาว
ได้ความว่า อ.สามีจำเลยตาย จำเลยกับเด็กชายบุญธรรมผู้รับมรดก ได้ทำสัญญาขายที่ดิน 1 แปลง เรือน 1 หลัง และยุ้งข้าว 1 หลังให้โจทก์เป็นราคา 13,000 บาท จำเลยได้รับมัดจำไว้จากโจทก์ 1,000 บาท อ.ผู้ปกครองเด็กชายบุญธรรมได้รับมัดจำไว้ 1,000 บาทต่อมา ฮ.ได้ฟ้องเรียกเด็กชายบุญธรรมคืนจาก อ. คดีเรื่องนั้นยังไม่มีโอกาสโอนที่ดินมรดกใส่ชื่อจำเลยกับเด็กชายบุญธรรมได้เพราะยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้มีสิทธิร้องต่ออำเภอแทนเด็กชายบุญธรรม โจทก์มาฟ้องขอให้จำเลยขายส่วนของจำเลย ถ้าไม่ปฏิบัติให้ใช้ค่าเสียหายและคืนเงินมัดจำ จำเลยต่อสู้หลายประการ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับให้จำเลยขายทรัพย์พิพาท เพราะมีอุปสรรค และจำเลยมิได้ผิดสัญญาจะเรียกค่าเสียหายมิได้ พิพากษาให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 1,000 บาทให้โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาจะซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยกับเด็กชายบุญธรรมนั้นเป็นสัญญาที่ไม่อาจแบ่งแยก ทั้งในสัญญาก็มิได้กล่าวไว้ว่าให้แยกกันรับผิด ตามสัญญาข้อ 2 มีเงื่อนไขไว้ชัดว่าฝ่ายผู้ขายจะได้ขอให้อำเภอโอนที่ดินใส่ชื่อผู้ขายเป็นเจ้าของแล้วโอนขายให้ผู้ซื้อ คือโจทก์ให้เสร็จใน 3 เดือนนับแต่วันโอนใส่ชื่อผู้ขายเป็นเจ้าของ โจทก์มาฟ้องก่อนการเป็นไปตามเงื่อนไข จะว่าจำเลยผิดสัญญายังไม่ได้
พิพากษายืน