คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2307/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 6ได้รับเงินค่าไถ่จากพวกของผู้เสียหายแล้ว ได้จัดให้ผู้เสียหายผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โดยผู้เสียหายไม่ได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 316บัญญัติให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยวที่1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 ตามกำหนดโทษที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 313 วรรคแรกนั้น จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 6 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเจ็ดตามมาตรา 309, 310 313,317, 337, 83 ริบรถยนต์ จดหมาย คืนเงินและสมุดของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 6และที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310, 313,317, 337, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21พฤศจิกายน 2514 ข้อ 11, 12 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313นั้น ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 7 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำผิด บัญญัติอัตราโทษสูงขึ้นจึงให้ใช้อัตราโทษในกฎหมายขณะกระทำความผิดที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดการที่จำเลยร่วมกันเอาตัวเด็กอายุเพียง 9 ปี ไปจากบิดามารดาในที่ชุมนุมชนเวลากลางวัน แล้วขู่เข็ญเรียกค่าไถ่จากบิดามารดาเด็กเช่นนี้ เป็นพฤติการณ์ที่อุกอาจ ก่อให้เกิดความหวาดเกรงแก่ประชาชนโดยทั้งไป จึงเห็นสมควรลงโทษสถานหนัก ความผิดฐานเอาตัวเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีไปเพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่ ลงโทษบทหนักตามมาตรา 313 ให้จำคุกตลอดชีวิต ความผิดต่อเสรีภาพและความผิดฐานกรรโชก ลงโทษบทหนักตามมาตรา 337 ให้จำคุก4 ปีแต่ปรากฏว่าระหห่างพิจารณาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ออกใช้บังคับเกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน อันเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังกระทำความผิดและเป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด ดังนั้นเฉพาะจำเลยที่ 7 จึงให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตส่วนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53, 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 มีกำหนดคนละ 40 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 4ให้การรับสารภาพชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน ตลอดจนชั้นพิจารณาของศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 53, 78 คงจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 27 ปีคืนเงิน 5,000 บาท และสมุดของกลางแก่เจ้าของ รถยนต์และจดหมายของกลางเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำผิดจึงให้ริบ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 5
จำเลยที่ 2 และที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 7 ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 7 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานโจทก์เชื่อได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานเอาตัวเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปีไปเพือได้มาซึ่งค่าไถ่ด้วย ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น…..พยานโจทก์สำหรับจำเลยที่ 7 ยังมีเหตุน่าระแวงสงสัยไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 7 ได้ร่วมกระทำความผิดคดีนี้ด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4และที่ 6 ได้รับเงินค่าไถ่จากพวกของผู้เสียหายแล้ว ได้จัดให้ผู้เสียหายผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โดยผู้เสียหายไม่ได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา316 บัญญัติให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 มาตามกำหนดโทษที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรกนั้น จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองเพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย และพิพากษษตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 6 ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วยเพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีและเห็นสมควรระบุวรรคของบทความผิดและบทลงโทษที่ศาลล่างทั้งสองมิได้ระบุไว้เสียให้ชัดแจ้งด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก 310 วรรคแรก 313 วรรคแรก 317317 วรรคแรก 337 วรรคสอง ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะกระทำผิด ความผิดความผิดตามมาตรา 309 วรรคแรก 310 วรรคแรก 313 วรรคแรก และ 317 วรรคแรกเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 313 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 316 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุกคนละ 14 ปี และลงโทษตามมาตรา 337 วรรคสอง จำคุกคนละ 4 ปี รวมโทษจำคุกคนละ 18 ปี ลดโทษให้ตามที่ศาลล่างทั้งสองลดมาสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 คนละหนึ่งในสี่ คงจำคุกคนละ 13ปี 6 เดือน สำหรับจำเลยที่ 4 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 ปี นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share