คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2301/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1477 เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดี หญิงมีสามีฟ้องคดีต้องได้รับอนุญาตจากสามีก็เฉพาะแต่การฟ้องคดีเกี่ยวกับสินสมรสเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ฟ้องคดีเกี่ยวกับสินสมรสคงให้การต่อสู้เพียงว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากสามี ไม่มีอำนาจฟ้อง กรณีจึงไม่มีประเด็นข้อโต้เถียงว่าทรัพย์สินที่โจทก์ฟ้องเป็นสินสมรสหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าหนี้ตามฟ้องเป็นสินสมรสจึงเป็นเรื่องนอกเหนือคำให้การของจำเลย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ต้องฟังว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2519 ถึงวันที่9 กุมภาพันธ์ 2532 นางวิไลวรรณ ภานนท์ ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ต่อมานางวิไลวรรณตายในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางวิไลวรรณต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 112,200 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากสามีไม่มีอำนาจฟ้องนางวิไลวรรณไม่มีทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทและไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ สัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ และยื่นหนังสือยินยอมของพันจ่าอากาศเอกบุญปลูกใหม่โพธิ์กลาง สามีให้ฟ้องคดีต่อศาลแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้รับความยินยอมจากสามีให้ฟ้องคดี ทั้งไม่ได้แก้ไขเรื่องความสามารถก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1476 ที่ได้ตรวจชำระหนี้ใหม่ พ.ศ. 2519 ซึ่งบังคับใช้ขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2533 นั้นบัญญัติว่า”นอกจากสัญญาก่อนสมรสจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น สามีและภริยาเป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกัน” และมาตรา 1477 บัญญัติว่า “อำนาจจัดการสินสมรสนั้น รวมถึงอำนาจจำหน่าย จำนำ จำนองหรือก่อให้เกิดภาระติดพันซึ่งสินสมรสและอำนาจฟ้องและต่อสู้คดีเกี่ยวแก่สินสมรสนั้นด้วย” เห็นว่ากฎหมายหาได้บัญญัติจำกัดสิทธิหญิงซึ่งมีสามีให้เป็นผู้ไร้ความสามารถในการฟ้องหรือต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินทุกกรณีไม่ หากแต่หญิงซึ่งมีสามีฟ้องคดีต้องได้รับอนุญาตจากสามีก็เฉพาะการฟ้องคดีเกี่ยวกับสินสมรส ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ทั้งสองฝ่ายต้องจัดการร่วมกัน ตามบทกฎหมายดังกล่าวเท่านั้น ในคดีนี้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องเกี่ยวกับสินสมรสที่โจทก์กับสามีต้องจัดการร่วมกันแต่ประการใด คงให้การต่อสู้เพียงว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากสามี ไม่มีอำนาจฟ้องเท่านั้น กรณีไม่มีประเด็นข้อโต้เถียงว่าทรัพย์สินที่โจทก์ฟ้องเป็นสินสมรสหรือไม่ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าหนี้ตามฟ้องเป็นสินสมรสซึ่งโจทก์และสามีต้องจัดการร่วมกันนั้น จึงเป็นเรื่องนอกเหนือคำให้การของจำเลย และปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ จึงต้องฟังว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้โดยไม่จำต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นว่านางวิไลวรรณกู้เงินจากโจทก์หรือไม่แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share