คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงตามที่ระบุไว้ในรายงานเจ้าหน้าที่ที่เสนอต่อผู้พิพากษา ปรากฏว่าคู่ความมิได้ลงลายมือชื่อไว้จึงถือไม่ได้ว่ามีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดที่โจทก์จะอ้างมาเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องให้บังคับแก่จำเลยทั้งห้าได้ ส่วนรายงานกระบวนพิจารณา แม้โจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และทนายจำเลยทั้งห้าลงลายมือชื่อไว้ แต่ความตกลงยังหาได้ยุติไม่ เพราะยังจะต้องดำเนินการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินกันอยู่อีก กรณีจึงไม่ใช่เรื่องตกลงระงับข้อพิพาทที่มีอยู่ หรือที่จะมีขึ้นนั้นให้เสร็จสิ้นไปในทันทีด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน และรายงานเจ้าหน้าที่กับรายงานกระบวนพิจารณาไม่อาจนำมาประกอบกันแล้วถือว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าไปดำเนินการยื่นคำขอแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 1317 ตำบลทุ่งอรุณ อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 89 ตารางวา ให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งห้า
จำเลยทั้งห้าให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านที่ดินของจำเลยทั้งห้า
โจทก์ไม่ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่า ตามรายงานเจ้าหน้าที่ เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งห้ามิได้ลงลายมือชื่อไว้ จึงถือไม่ได้ว่ามีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยทั้งห้าที่โจทก์จะอ้างมาเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องให้บังคับแก่จำเลยทั้งห้าได้ ส่วนรายงานกระบวนพิจารณา แม้โจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และทนายจำเลยทั้งห้าลงลายมือชื่อไว้ แต่ความตกลงนั้นยังหาได้ยุติลงไม่ เพราะยังจะต้องดำเนินการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินกันอยู่อีก กรณีจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์และจำเลยทั้งห้าตกลงระงับข้อพิพาทที่มีอยู่หรือที่จะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปในทันทีด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน รายงานเจ้าหน้าที่และรายงานกระบวนพิจารณา ไม่อาจนำมาประกอบกันแล้วถือว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความได้ และตามฟ้องแย้งของจำเลยทั้งห้าที่กล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งห้าไม่ประสงค์ให้โจทก์และบริวารอาศัยอยู่ในที่ดินอีกต่อไป เป็นการตั้งประเด็นขึ้นใหม่ อันเป็นคนละเรื่องคนละมูลคดีกับที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้ารับผิดตามเอกสารที่อ้างว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งห้าจึงเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดเข้าด้วยกันได้ พิพากษายืน และยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งห้า ให้จำเลยทั้งห้าฟ้องเป็นคดีต่างหาก คืนค่าขึ้นศาลตามฟ้องแย้งแก่จำเลยทั้งห้า ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นในชั้นอุทธรณ์ นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่า เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งห้าสามารถตกลงกันได้ในคดีก่อนจึงถือว่ารายงานเจ้าหน้าที่และรายงานกระบวนพิจารณา เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้ทำขึ้นต่อหน้าเจ้าหน้าที่ศาลและศาลชั้นต้นแล้วนั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share