แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและจดทะเบียนโอนที่ดินคืนแก่โจทก์ จำเลยให้การว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินดังกล่าวสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือเป็นคดีมีทุนทรัพย์
การคำนวณทุนทรัพย์ของคดีเพื่อเสียค่าขึ้นศาลนั้น จะต้องคำนวณตามราคาที่ดินที่โจทก์อ้างว่าเป็นราคาที่ตกลงจะขายให้แก่จำเลย หาใช่คำนวณจากราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินไม่ เพราะการประเมินราคาของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นเพียงเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับใช้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมมิใช่ราคาที่ดินที่แท้จริง เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากคำฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ตกลงขายที่ดินแก่จำเลย 10 ไร่ ไร่ละ 50,000 บาท ขอให้ศาลเพิกถอนและโอนที่ดินกลับเป็นของโจทก์ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันจึงมีจำนวน 500,000 บาท คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงนครราชสีมาที่จะรับไว้พิจารณาพิพากษา
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดนครราชสีมา อ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ตั้งอยู่ตำบลท่าเยี่ยม (กระโทก) หมู่ที่ 9 (20) อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2538 โจทก์ตกลงขายที่ดินดังกล่าวพร้อมที่ดินของบุตรสาวโจทก์บางส่วนรวมเนื้อที่ 10 ไร่ ในราคาไร่ละ 50,000 บาท ให้แก่จำเลย จำเลยได้ชำระมัดจำแล้วเป็นเงิน 125,000 บาท ส่วนที่เหลือจะชำระในวันจดทะเบียนโอน ต่อมาประมาณเดือนธันวาคม 2538 โจทก์ลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจให้จำเลยไปดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินที่จะซื้อจะขายกัน แต่จำเลยกลับกรอกข้อความเป็นว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยไปทำสัญญาซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ข้างต้นให้แก่จำเลย ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและเพิกถอนรายการจดทะเบียนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) กับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวคืนโจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยตกลงซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ที่โจทก์ฟ้อง โดยที่ดินในส่วนแรกเนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา ตกลงซื้อขายกันในราคาไร่ละ 50,000 บาท ที่ดินส่วนที่เหลือตกลงซื้อขายกันในราคาไร่ละ 35,000 บาท จำเลยวางมัดจำเป็นเงิน 125,000 บาท ส่วนที่เหลือจะชำระในวันจดทะเบียนโอน ก่อนวันจดทะเบียนโอนจำเลยได้ชำระเงินส่วนที่เหลือทั้งหมดแก่โจทก์ โจทก์จึงมอบอำนาจให้จำเลยไปทำสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวที่สำนักงานที่ดิน การกระทำของจำเลยจึงตรงตามเจตนาของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลจังหวัดนครราชสีมามีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลแขวงนครราชสีมา
ศาลแขวงนครราชสีมามีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่รับโอนคดีไว้แล้วมีคำสั่งใหม่เป็นว่าไม่รับโอนคดี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลแขวงนครราชสีมาไม่รับโอนคดีไว้วินิจฉัยชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและจดทะเบียนโอนที่ดินคืนให้โจทก์ จำเลยให้การในทำนองว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินดังกล่าวสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ หรือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ สำหรับการคำนวณทุนทรัพย์ของคดีเพื่อเสียค่าขึ้นศาลนั้นจะต้องคำนวณตามราคาที่ดินที่โจทก์อ้างว่าเป็นราคาที่ตกลงจะขายให้แก่จำเลยหาใช่คำนวณจากราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินไม่ เพราะการประเมินราคาของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นเพียงเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับใช้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม มิใช่ราคาที่ดินที่แท้จริง ดังนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากคำฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ตกลงขายที่ดินให้จำเลยจำนวน 10 ไร่ ในราคาไร่ละ 50,000 บาท ขอให้ศาลเพิกถอนและโอนที่ดินกลับเป็นของโจทก์ ทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องจึงเท่ากับ 500,000 บาท เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นมีจำนวน 500,000 บาท คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงนครราชสีมาที่จะรับคดีไว้พิจารณาพิพากษา ที่ศาลแขวงนครราชสีมาปฏิเสธไม่รับโอนคดีนี้จากศาลจังหวัดนครราชสีมาและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.