คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2290/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลทำหนังสือกู้เงินและเช่าซื้ออุปกรณ์ทำนาจากโจทก์ โดยกรรมการลงชื่อไม่ครบตามข้อบังคับ แต่จำเลยที่ 1 ยอมรับว่ากรรมการเหล่านั้นทำแทนและยอมรับประโยชน์จากสัญญากู้และเช่าซื้อสัญญาจึงผูกพันจำเลยที่ 1 และไม่ใช่กรณีซื้อเชื่อ นำอายุความซื้อขายมาบังคับไม่ได้

ย่อยาว

สมาคมจำเลยที่ 1 ทำหนังสือกู้เงินและเช่าซื้อเครื่องอุปกรณ์ทำนาจากโจทก์โดยมีจำเลยอื่นค้ำประกัน ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,786,802 บาท กับดอกเบี้ย ให้จำเลยอื่นใช้เงินในฐานะผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อต่อไปว่าสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ฟ้องไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลเพราะมีจำเลยที่ 2 ประธานกรรมการบริหารแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ลงนามเป็นคู่สัญญาพิเคราะห์แล้ว เกี่ยวกับประเด็นข้อนี้ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินหมาย จ.2 ระบุว่าจำเลยที่ 3 ลงชื่อแทนจำเลยที่ 1 ตามมติของที่ประชุมกรรมการ ส่วนหนังสือกู้ยืมเงินหมาย จ.19 จ.24 จ.28 และ จ.36ที่จำเลยที่ 2 ลงชื่อก็ระบุว่า จำเลยที่ 2 มีอำนาจทำสัญญาแทนสมาคมจำเลยที่ 1ตามข้อบังคับ และสัญญากู้ยืมเงินแต่ละฉบับดังกล่าวต่างมีกรรมการบริหารของสมาคมจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกันฉบับละหลายคน ส่วนหนังสือสัญญาเช่าซื้อจำเลยที่ 1 ได้นำจำนวนเงินค่าอุปกรณ์การทำนาตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อหมาย จ.14 จ.15 และ จ.16 ไปลงในบัญชีซื้อเชื่อของสมาคมจำเลยที่ 1 ปีพุทธศักราช 2509 หน้า 1 ทั้งยังลงในบัญชีเจ้าหนี้ปีพุทธศักราช 2509 ด้วยส่วนอุปกรณ์ การทำนาตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อหมาย จ.10 จ.11 จ.12จ.17 และ จ.18 จำเลยที่ 1 ก็นำไปลงในบัญชีเจ้าหนี้ซื้อเชื่อจากกรมปกครองและอุปกรณ์การทำนารวม 13 รายการตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อหมาย จ.13นั้น จำเลยที่ 1 ก็ได้นำไปลงบัญชีซื้อเชื่อปีพุทธศักราช 2511 อย่างละเอียดทุกรายการว่า รายการใดมีอุปกรณ์การทำนาอะไรบ้าง กี่ชิ้น ชิ้นละเท่าใด รวมเป็นเงินแต่ละรายการเท่าใด ตรงกับรายละเอียดของเครื่องอุปกรณ์การทำนาตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อหมาย จ.13 ทุกประการ จากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ดังกล่าว ศาลอุทธรณ์จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า จำเลยที่ 1 โดยกรรมการบริหารที่เป็นจำเลยในคดีนี้รวม 9 คน ได้แสดงออกและยอมรับว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีอำนาจทำนิติกรรมแทนจำเลยที่ 1 และยอมรับเอาประโยชน์ที่ได้จากสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์นำมาฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาคัดค้านข้อเท็จจริงและคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลอุทธรณ์ ดังกล่าวแต่ประการใด จึงต้องฟังยุติตามนั้น เมื่อฟังยุติว่าจำเลยที่ 1 โดยกรรมการบริหารที่เป็นจำเลยในคดีนี้รวม 9 คน ได้แสดงออกและยอมรับว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีอำนาจทำนิติกรรมแทนจำเลยที่ 1 และยอมรับเอาประโยชน์ที่ได้จากสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์นำมาฟ้องแล้ว สัญญากู้ยืมเงินและสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 1 ถึงแม้สัญญาดังกล่าวมีจำเลยที่ 2 ประธานกรรมการบริหารแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ลงนามเป็นคู่สัญญาผิดไปจากข้อบังคับก็ตาม

จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อต่อไปว่า สัญญาที่โจทก์ฟ้องเป็นการซื้อขายเชื่อ ซึ่งขาดอายุความแล้ว เพราะเกินกำหนดสองปีนับแต่วันทำสัญญาแล้ว พิเคราะห์แล้ว หนังสือสัญญากู้ยืมเงินหมาย จ.2 จ.19 จ.24 จ.28 และ จ.36 ที่โจทก์ฟ้องระบุชัดว่าเป็นการกู้ยืมเงินกันหาใช่เป็นการซื้อขายเชื่อไม่ ส่วนหนังสือสัญญาเช่าซื้อหมาย จ.10 ถึง จ.18 ที่โจทก์ฟ้องนั้น สัญญาทุกฉบับมีข้อความว่าเป็นใจความว่าในระหว่างที่ส่งค่าเช่าซื้อยังไม่ครบ ผู้เช่าจะนำทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปให้หรือซื้อขายแลกเปลี่ยนหรือทำนิติกรรมใด ๆ กับผู้อื่นมิได้ ถ้าผู้เช่าไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อตามที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือประพฤติผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดผู้เช่ายอมให้ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญา ยอมให้ริบเงินค่าเช่าซื้อที่ชำระไปแล้วทั้งสิ้นและยอมมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อให้ผู้เช่าเข้าครอบครองทันที ข้อกำหนดในสัญญาดังกล่าวเป็นการเช่าซื้อ หาใช่เป็นการซื้อขายเชื่อไม่ เพราะกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อยังเป็นของผู้ให้เช่าซื้ออยู่ เมื่อกรณีไม่เป็นการซื้อขายเชื่อ แต่เป็นการกู้ยืมเงินกัน และเป็นการเช่าซื้อทรัพย์สินกัน อายุความซื้อขายเชื่อที่จำเลยที่ 1ยกขึ้นต่อสู้จึงเป็นอันตกไป”

พิพากษายืน

Share