แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามสัญญาจ้างมีข้อตกลงว่า นอกจากโจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนแล้วเมื่อโจทก์จัดหางานตามโครงการมาได้ โจทก์ยังมีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทนร้อยละ 2.5 ของสินจ้างที่จำเลยได้รับอันเป็นผลงานที่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างทำมาได้ ย่อมถือได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่จ่ายตอบแทนการทำงานโดยตรงแม้ในสัญญาจ้างจะเรียกเงินดังกล่าวว่าโบนัสก็เป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างมีกำหนดเวลา 3 ปี จำเลยจะต้องชำระเงินค่าจ้างให้แก่โจทก์ตามสัญญาในอัตราร้อยละ 2.5 ของสินจ้างในโครงการ คิดเป็นเงินจำนวน 141,151.25 บาท แต่เมื่อถึงกำหนดชำระ จำเลยกลับผิดนัดไม่ชำระให้แก่โจทก์ตามสัญญา รวมเป็นเงินค่าจ้างค้างชำระจำนวน 304,786.25 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 304,786.25 บาท พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15จากต้นเงินจำนวน 163,635 บาท ทุกระยะเวลา 7 วัน นับแต่วันที่9 ตุลาคม 2534 เงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 จากต้นเงินจำนวน141,151.25 บาท ทุกระยะเวลา 7 วัน นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2536เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระต้นเงินทั้งหมดให้แก่โจทก์ และให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 163,635 บาท นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2534 และจากต้นเงินจำนวน 141,151.25 บาท นับแต่วันที่ 13 มกราคม 2536เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ในสัญญาข้อ 6 ไม่ใช่เรื่องการจ่ายเงินค่าจ้างแต่เป็นข้อตกลงในการจ่ายเงินโบนัสซึ่งเป็นเงินรางวัลพิเศษ และข้อตกลงดังกล่าวได้มีการเปลี่ยนแปลงแล้วไม่ตรงตามข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้าง โดยเงื่อนไขข้อตกลงที่แก้ไขใหม่ให้แบ่งการจ่ายเงินโบนัสร้อยละ 2.5 ของมูลค่าโครงการออกเป็น 2 งวด งวดที่ 1ร้อยละ 1.25 ของมูลค่างานโครงการ โดยจะจ่ายให้ล่วงหน้า งวดที่ 2ร้อยละ 1.25 ของจำนวนเงินที่จำเลยได้รับจากผู้ว่าจ้างในรอบปีที่โจทก์ยังเป็นลูกจ้างอยู่ โดยทั้งสองงวดโจทก์ได้รับเงินจากจำเลยไปแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชอบชำระดอกเบี้ยและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยได้เปลี่ยนแปลงวิธีการจ่ายเงินโบนัสให้โจทก์จากการจ่ายงวดเดียว เป็นการจ่ายล่วงหน้าให้กึ่งหนึ่งเมื่อได้รับโครงการ ส่วนอีกกึ่งหนึ่งจะจ่ายให้ตามส่วนที่จำเลยได้รับสินจ้างจากเจ้าของโครงการ ซึ่งโจทก์ทราบและถือปฏิบัติตามแล้ว ขณะที่โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยนั้น ยังไม่มีการนำเสนอทางวิชาการและตกลงทำสัญญาตามโครงการพัฒนาเกษตรชลประทานแบบยั่งยืน จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้นำเสนอโครงการดังกล่าว เงินโบนัสหรือค่าตอบแทนตามฟ้องมิใช่ค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2 เพราะมิได้จ่ายให้เป็นการตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน และคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดเมื่อใด จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 31 แต่คดีฟังได้ว่าจำเลยจ่ายค่าตอบแทนตามโครงการพัฒนาเกษตรชลประทานภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้แก่โจทก์เพียงบางส่วนจำเลยจึงต้องจ่ายค่าตอบแทนในส่วนที่ยังค้างชำระจำนวน 163,635 บาทให้แก่โจทก์ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 163,635 บาท ให้แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ตามสัญญาจ้างเอกสารหมายจ.2 ข้อ 6 ระบุว่า โจทก์จะได้รับเงิน 40,000 บาท ต่อเดือน เงินโบนัสประจำปีเท่ากับเงินเดือน 1 เดือน และจะมีเงินโบนัสสำหรับการปฏิบัติหน้าที่จ่ายให้แก่โจทก์สำหรับงานใด ๆ ซึ่งโจทก์จัดการให้ได้มาแก่จำเลยด้วยความพยายามของโจทก์เอง โดยจ่ายให้ในอัตราร้อยละ 2.5 ของสินจ้างของงานนั้น ๆ ฯลฯ ดังนั้น นอกจากโจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างเป็นรายเดือนแล้ว เมื่อโจทก์จัดหางานตามโครงการมาได้ โจทก์ยังมีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทนร้อยละ 2.5ของสินจ้างที่จำเลยได้รับ อันเป็นผลงานที่โจทก์เป็นลูกจ้างหามาได้ย่อมถือได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่จ่ายตอบแทนการทำงานโดยตรงแม้ในสัญญาจ้างจะเรียกเงินดังกล่าวว่าโบนัส ก็เป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2 แต่เงินค่าจ้างจำนวน 163,635 บาท ที่จำเลยจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ เมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดเมื่อใด จึงให้จ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 31 วรรคแรก ส่วนเงินเพิ่มนั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยจงใจผิดนัดในการจ่าย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดจ่ายเงินเพิ่มแก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางไม่กำหนดให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยแก่โจทก์ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง