คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2279/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยโกรธผู้ตายที่ขัดขวางไม่ยอมให้จำเลยเข้าหานางบุญล้อมน้องสาวผู้ตาย จึงลงจากห้างไป ทำทีจะไปต้มไก่ให้นายเฉื่อยรับประทานแต่แล้วจำเลยกลับพาพวกมา และจำเลยยิงผู้ตายขณะที่ยังนอนอยู่บนห้างไร่ เห็นได้ว่าเป็นการกระทำโดยอาฆาตแค้นและวางแผนมาฆ่าผู้ตาย จึงเป็นการฆ่าคนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 83 ให้จำคุก 20 ปี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 83 ให้ประหารชีวิต ที่จำเลยยอมรับขมาผู้ตายก็ดียอมรับว่าได้เขียนจดหมายถึงนายเฉื่อยให้เจรจากับผู้เสียหายก็ดี และชั้นสอบสวนยอมรับว่าได้ไปที่ท้ายไร่ของผู้ตายและคืนเกิดเหตุเดือนสว่างสามารถมองเห็นทางได้ก็ดี เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 28ตุลาคม 2526 เวลาประมาณ 1 นาฬิกา ขณะที่นายบุญเริ่ม เฉลิมพงษ์ผู้ตาย กำลังนอนอยู่ที่ระเบียงห้างไร่ของนางบุญล้อม เฉลิมพงษ์น้องสาวที่หมู่ที่ 7 ตำบลบ่อไทย อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ได้มีคนร้าย 3 คน คนหนึ่งได้ขึ้นไปบนระเบียงห้าง ใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงผู้ตาย 1 นัด กระสุนปืนถูกผู้ตายที่บริเวณปากด้านขวาเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจริง ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยเป็นคนร้ายร่วมกับพวกใช้ปืนยิงฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่
โจทก์มีนายเฉื่อย อบเชย ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 7 ตำบลบ่อไทย นางบุญล้อม เฉลิมพงษ์ น้องสาวผู้ตาย นายบุญเลิศ เฉลิมพงษ์ น้องชายผู้ตายและนายลบ โชติพรหม ลูกจ้างของนางบุญล้อม มาสืบ นางบุญล้อม นายบุญเลิศและนายลบเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 18นาฬิกา ขณะที่พยานกับผู้ตายกำลังนั่งดื่มสุราและคุยกันอยู่ที่ระเบียงห้าง นายเฉื่อยกับจำเลยได้มาที่ห้าง จำเลยมีอาการเมาสุรามา และคืนนั้นคนทั้งสองได้นอนค้างที่ห้างด้วย นายเฉื่อยก็เบิกความรับว่าพยานกับจำเลยได้นอนค้างที่นั่นจริงโดยนอนเรียงกันอยู่ที่ระเบียง เริ่มเข้านอนตั้งแต่เวลาประมาณ 21 นาฬิการะหว่างที่นอนกันอยู่ นายเฉื่อย นายบุญเลิศ และนายลบว่าจำเลยได้พูดกับนายเฉื่อยเรื่องจะเข้าหานางบุญล้อม ซึ่งนอนอยู่ในห้อง ผู้ตายได้ยินเข้ามีความไม่พอใจได้ใช้เท้ากระแทกพื้นและต่อว่าจำเลย จำเลยโกรธบอกนายเฉื่อยว่านอนที่นี่ไม่สบายใจ จะกลับไปก่อนต้มไก่สุกจะกลับมาตาม แล้วจำเลยก็ลงจากห้างไป หลังจากนั้น 1 ชั่วโมงเศษ จำเลยกับพวกอีก 2 คน ได้มาที่ห้าง มาถึงจำเลยได้ขึ้นไปที่ระเบียงห้างใช้ปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย แล้วจำเลยกับพวกก็พากันหลบหนีไป ขณะเกิดเหตุแม้บนห้างจะไม่ได้จุดตะเกียง แต่ขณะนั้นเดือนหงายข้อเท็จจริงก็ได้ความว่าก่อนยิงจำเลยได้ฉายไฟฉายส่องหาผู้ตายก่อน จำเลยยืนยิงผู้ตายในระยะใกล้ ตามคำนายบุญเลิศว่าห่างประมาณ 2 เมตรเท่านั้น ขณะยิงจำเลยก็ต้องถือไฟฉายอยู่ใกล้ตัว นายเฉื่อย นายบุญเลิศ และนายลบรู้จักจำเลยดี แสงไฟฉายและแสงเดือนตรงที่เกิดเหตุย่อมพอให้มองเห็นและจำจำเลยได้ ปรากฏว่าเมื่อยิงผู้ตายแล้วนายเฉื่อยจะลุกขึ้น จำเลยก็เอามือผลักอกนายเฉื่อยว่าผู้ใหญ่นั่งลง นายเฉื่อย นายบุญเลิศ และนายลบย่อมมีโอกาสจำเสียงจำเลยได้ด้วยได้ความว่าวันรุ่งขึ้นนายเฉื่อยกับนายบุญเลิศไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจตรีนิพนธ์ เจริญใจพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอหนองไผ่โดยระบุว่าจำเลยเป็นคนยิงผู้ตาย วันที่ 17 พฤศจิกายน 2526 ร้อยตำรวจตรีนิพนธ์กับนายดาบตำรวจเล็ก ตังศรี จับจำเลยได้นำตัวไปที่ห้างไร่ของนางบุญล้อมที่เกิดเหตุ ร้อยตำรวจตรีนิพนธ์บอกจำเลยว่าถ้าฆ่าผู้ตายจริงก็ควรจะขอขมาผู้ตายเสีย จำเลยก็คุกเข่าลงกราบตรงจุดที่มีรอยเลือดของผู้ตาย นอกจากนี้ขณะที่ถูกควบคุมอยู่ที่สถานีตำรวจภูธร อำเภอหนองไผ่ จ่าสิบตำรวจสุภกิตต์รอดงาม ยึดได้จดหมายตามเอกสารหมาย จ.2 จากญาติของจำเลย 1 ฉบับเอกสารฉบับนี้จำเลยก็ลงชื่อรับรองว่าเป็นจดหมายของจำเลยมีไปถึงนายเฉื่อยให้ช่วยเจรจากับฝ่ายเจ้าทุกข์และเสี้ยมสอนพยานโจทก์ให้ให้การแตกต่างกัน ชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับถึงข้อเท็จจริงต่างๆ เหล่านี้ ที่จำเลยเบิกความว่าไม่ได้ขอขมาผู้ตายและไม่ได้เขียนจดหมายเอกสารหมาย จ.2 มีแต่คำจำเลยคนเดียวลอยๆ ฟังเป็นจริงไม่ได้พยานโจทก์เชื่อได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายร่วมกับพวกใช้ปืนยิงผู้ตายจริง การที่จำเลยโกรธผู้ตายที่ขัดขวางไม่ยอมให้จำเลยเข้าหานางบุญล้อมน้องสาวผู้ตายและลงจากห้างไป ทำทีจะไปต้มไก่ให้นายเฉื่อยรับประทาน แต่แล้วจำเลยกลับพาพวกมา และจำเลยยิงผู้ตายขณะที่ยังนอนอยู่บนห้างไร่ เห็นได้ว่าเป็นการกระทำโดยอาฆาตแค้นและวางแผนมาฆ่าผู้ตาย จึงเป็นการฆ่าคนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share