คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2278/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ถือได้ว่าเป็นการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีเพื่อให้ใช้หนี้ตามที่เรียกร้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 อายุความจึงสะดุดหยุดลง จำเลยทั้งสามร้องคัดค้านการขายทอดตลาดและใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อมา เมื่อคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาฎีกา อายุความจึงเริ่มนับใหม่แต่เวลานั้นสืบไป ดังนั้นนับแต่วันศาลฎีกาพิพากษาถึงวันที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีล้มละลาย สิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลดังกล่าวจึงยังไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาให้ร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ได้ยึดทรัพย์จำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาด จำเลยทั้งสามร้องคัดค้านคำสั่งศาลที่อนุญาตให้ขายทอดตลาดและใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกา ทำให้โจทก์ไม่สามารถรับเงินจากการขายทอดตลาดดังกล่าวมาชำระหนี้ได้ จนคดีดังกล่าวถึงที่สุดโจทก์จึงได้เงินส่วนเฉลี่ยมาหักชำระหนี้ตามคำพิพากษา จึงทราบแน่นอนว่าจำเลยทั้งสามยังเป็นหนี้โจทก์อยู่อีกเป็นเงิน ๒,๗๘๐,๑๘๑ บาท ๘๙ สตางค์ พร้อมดอกเบี้ย โจทก์มีหนังสือทวงถามหนี้ดังกล่าวไม่น้อยกว่าสองครั้งแต่ละครั้งห่างกันเกินกว่า ๓๐ วัน จำเลยทั้งสามไม่ชำระ จำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินอื่นพอที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ จึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นหนี้จำนวนแน่นอนเกินกว่า ๓๐,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสามให้การว่าคดีเดิมขาดอายุความการบังคับคดีแล้ว เท่ากับจำเลยมิได้มีหนี้สินใด ๆ อีกต่อไป ไม่มีเหตุที่โจทก์จะฟ้องคดีล้มละลายได้อีก จำเลยไม่ใช่ผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
ในวันนัดพิจารณา จำเลยทั้งสามแถลงยอมรับว่าเคยเป็นหนี้โจทก์ และได้มีการบังคับคดีตามฟ้อง เป็นหนี้ที่มีกำหนดจำนวนแน่นอนโดยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะชำระหนี้ได้ จำเลยคงโต้เถียงในประเด็นเดียวว่าโจทก์ไม่ได้บังคับคดีภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุด จึงไม่มีหนี้สินใด ๆ กับโจทก์อีกต่อไปโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีล้มละลายเนื่องจากขาดอายุความ ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานโดยขอให้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะในคดี
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ร้องขอบังคับคดีและมีการยึดทรัพย์สินภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา ไม่ว่าจะมีการบังคับคดีเสร็จสิ้นภายใน ๑๐ ปีหรือไม่ก็ตามโจทก์ก็มีสิทธิบังคับคดีต่อไปได้ จำเลยยังหาหลุดพ้นในหนี้จำนวนนี้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษา มูลหนี้ดังกล่าวเป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาล จึงมีอายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๘ คดีดังกล่าวถึงที่สุดเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๑๓ จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยร้องคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขายทอดตลาดและใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อมา คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาแต่ยังขาดจำนวน ต่อจากนั้นจำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๒๔ เห็นว่าโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีภายในกำหนด ๑๐ ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุด ถือได้ว่าเป็นการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีเพื่อให้ใช้หนี้ตามที่เรียกร้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓ อายุความสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลจึงสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๘๑ เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสามได้ร้องคัดค้านการขายทอดตลาดและใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกา คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาฎีกาเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ กรณีถือได้ว่าเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงได้สุดสิ้นลงเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ ดังนั้นเมื่อนับแต่วันที่ดังกล่าวถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงยังไม่ขาดอายุความ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษานั้นได้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share