คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2278/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อความจริงอย่างไรจะถือว่าอาจจูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้น หรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 นั้น ต้องถือตามความเห็นของวิญญูชนทั่วไปเป็นหลัก จะถือว่าถ้ามีการปกปิดความจริงไม่ว่าประการใดๆ แล้ว จะทำให้สัญญาเป็นโมฆียะไปเสียทั้งหมดหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 715/2513)
ขณะที่ ถ.ขอเอาประกันชีวิตกับจำเลยถ.มีสุขภาพดี แพทย์ผู้ตรวจไม่พบโรคไต แสดงว่าโรคไตของ ถ.อาจหายแล้วหรือไม่อยู่ในขั้นร้ายแรง ถ.ถึงแก่กรรมเพราะเส้นโลหิตแตกในสมอง มิใช่โรคไต ฉะนั้น ที่ ถ.มิได้เปิดเผยเรื่องที่เคยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมาก่อนขอเอาประกันภัยให้จำเลยทราบนั้น จึงไม่อาจอนุมานเอาได้ว่า ถ้าได้เปิดเผยข้อความจริงเช่นนั้น จะจูงใจจำเลยให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญาอันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายถมยา สาระศรี สามีโจทก์ที่ 1 และเป็นบิดาโจทก์ที่ 2 ได้เอาประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ไว้กับจำเลยมีกำหนด 20 ปีจำนวนเงินประกัน 50,000 บาท นายถมยาถึงแก่กรรมด้วยโรคลมปัจจุบันโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันชีวิตได้แจ้งให้จำเลยทราบ และขอรับเงินตามกรมธรรม์นั้น จำเลยปฏิเสธไม่ยอมจ่ายขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 50,937.50 บาทให้โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า นายถมยาได้แถลงต่อแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพของจำเลยว่าสุขภาพไม่ทรุดโทรมในทางหนึ่งทางใด ไม่เคยได้รับการรักษาเกี่ยวกับโรคไตมาก่อนและไม่เคยรับคำแนะนำหรือรักษาตัวในโรงพยาบาลในระยะเวลา 5 ปีก่อนขอเอาประกันเมื่อโจทก์ขอรับเงินประกัน จำเลยจึงทราบว่าก่อนเอาประกันชีวิตกับจำเลยนั้น นายถมยาเคยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง และเคยได้รับการรักษาพยาบาลเกี่ยวกับโรคไตที่โรงพยาบาลมาก่อนที่จะขอเอาประกันไม่ถึง 5 ปี นายถมยาเจตนาไม่เปิดเผยความจริงจำเลยได้แจ้งปฏิเสธการจ่ายเงินตามสัญยาประกันชีวิตไปยังโจทก์เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2513 อันเป็นการบอกล้างนิติกรรมกรมธรรม์ประกันชีวิตรายนี้ เป็นผลให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆะ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 50,000 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 4 กันยายน 2513 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยแจ้งปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ในเรื่องที่นายถมยาเคยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในระยะเวลา 5 ปีก่อนขอเอาประกันนั้น ฟังได้ว่าเป็นความจริง และนายถมยาละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงดังกล่าวจึงมีข้อที่ต้องพิเคราะห์ว่าการละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงอันนี้อาจจะจูงใจให้จำเลยผู้รับประกันภัยบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความจริงอย่างไรจะถือว่าอาจจูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้น หรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 ต้องถือเอาตามความคิดเห็นของวิญญูชนทั่วไปเป็นหลัก จะถือว่าถ้ามีการปกปิดความจริงไม่ว่าประการใด ๆ แล้ว จะทำให้สัญญาเป็นโมฆียะไปเสียทั้งหมดหาได้ไม่ (คำพิพากษาฎีกาที่ 715/2513) เห็นได้ว่า ในขณะที่นายถมยาขอเอาประกันชีวิตกับจำเลยนั้น นายถมยามีสุขภาพดี แพทย์ผู้ตรวจไม่พบโรคไต แสดงว่าโรคไตของนายถมยาอาจหายแล้ว หรือไม่อยู่ในชั้นร้ายแรง นายถมยาถึงแก่กรรมเพราะเส้นโลหิตแตกในสมอง มิใช่ด้วยโรคไต ฉะนั้น ที่นายถมยามิได้เปิดเผยเรื่องที่เคยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมาก่อนขอเอาประกันภัยให้จำเลยทราบนั้นจึงไม่อาจอนุมานเอาได้ว่า ถ้าได้เปิดเผยข้อความจริงเช่นนั้นจะจูงใจจำเลยให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 จำเลยต้องรับผิดตามสัญญา

พิพากษายืน

Share