แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายกู้เงินจำเลยที่ 2 โดยทำสัญญากู้กันไว้มีข้อความด้วยว่า ผู้เสียหายได้นำเรือนหนึ่งหลังมาวางไว้เป็นประกัน วันเกิดเหตุผู้เสียหายไม่อยู่ จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันรื้อเรือนหลังที่ผู้เสียหายเอามาระบุไว้เป็นประกันเงินกู้ ด้วยเจตนาที่จะเอามาหักใช้หนี้ที่ผู้เสียหายเป็นหนี้จำเลยที่ 2 อยู่ ดังนี้ การกระทำของจำเลยหามีเจตนาที่จะลักทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต ไม่ ยังไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นโดยใช้ชะแลงงัดพื้นและฝากกระดานบ้านของนางฮั้วหรือหั้ว ชูพันธ์จนเสียหายไร้ประโยชน์ คิดเป็นเงิน 6,000 บาท แล้วร่วมกันลักเอาไม้ที่จำเลยงัดออกดังกล่าวไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 358 และขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า เจตนาแท้จริงของจำเลยมิใช่จะทำลายทรัพย์ แต่มีผิดฐานลักทรัพย์ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 83 จำคุกคนละ 1 ปี และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 6,000 บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามได้รื้อเรือนผู้เสียหายไปและเชื่อตามจำเลยนำสืบว่าจำเลยที่ 1 ได้ซื้อไม้กระดานจากผู้อื่น พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์
ศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหนี้ผู้เสียหาย โดยมีสัญญากู้กันไว้มีข้อความด้วยว่า ผู้เสียหายได้นำเรือนที่ต่อมาได้เป็นกรณีพิพาทกันในคดีนี้มาวางเป็นประกัน วันเกิดเหตุผู้เสียหายไม่อยู่บ้านจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันรื้อเรือนพิพาทดังกล่าว เพื่อเอาไปหักหนี้ที่ผู้เสียหายกู้เงินจำเลยที่ 2 และไม้ส่วนหนึ่งของเรือนที่รื้อได้ตกอยู่ที่จำเลยที่ 1 ในปัญหาว่าจำเลยจะมีความผิดลงโทษจำเลยได้ฐานใดนั้น เห็นว่าการที่จำเลยร่วมกันรื้อเรือนของผู้เสียหายเอาไปนั้น ก็ด้วยเจตนาที่จะเอามาหักใช้หนี้ที่ผู้เสียหายเป็นหนี้จำเลยอยู่ หาได้มีเจตนาที่จะลักเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริตไม่ การกระทำของจำเลยเป็นไปโดยเปิดเผย หากแต่เป็นการใช้อำนาจบังคับตามสิทธิของการเป็นเจ้าหนี้โดยพลการโดยมิได้จัดให้มีการฟ้องร้องให้ถูกต้องตามกฎหมายของบ้านเมืองเท่านั้น จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนเรื่องคำขอตามฎีกาของโจทก์ว่า ให้จำเลยคืนหรือชดใช้ราคาเรือนที่พิพาทนั้นเห็นว่า แม้หากจะฟังว่าจำเลยจะมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ก็ตามพนักงานอัยการโจทก์ก็ไม่มีอำนาจที่จะขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินที่สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดฐานทำให้เสียทรัพย์แทนผู้เสียหายได้ ส่วนความผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อฟังว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดแล้ว คำขอข้อนี้ก็ตกไปด้วย ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในผลที่ว่า ให้ยกฟ้องโจทก์