แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้สั่งให้จำเลยที่ 1นำเงินหรือหลักประกันมาวางเป็นประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีให้ครบตามคำสั่งศาลฎีกา โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง อุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ดังกล่าวเป็นเรื่องเนื้อหาเกี่ยวเนื่องกับคำสั่งขอทุเลาการบังคับคดีซึ่งเป็นอำนาจแต่ละชั้นศาล ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ได้ ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้สอบถามโจทก์ว่าพอใจในหลักประกันของจำเลยที่ 1 ตามที่จำเลยที่ 1 แถลงหรือไม่ คงฟังจากคำแถลงของทนายจำเลยที่ 1 แต่เพียงฝ่ายเดียวและมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ทำหนังสือประกันชั้นฎีกาไปเลยโดยที่โจทก์ไม่มีโอกาสคัดค้าน ทั้งไม่มีกฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องคัดค้านคำสั่งดังกล่าวเสียในวันนัด ดังนั้นการที่โจทก์มิได้คัดค้านจึงไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินหรือหลักประกันมาวางให้ครบตามคำสั่งของศาลฎีกา
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 321,563.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกาและขอทุเลาการบังคับคดีในระหว่างฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้วถ้าจำเลยที่ 1หาประกันสำหรับจำนวนเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมด้วยดอกเบี้ยมาให้เป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้องหลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งของศาลฎีกาให้โจทก์ จำเลยที่ 1ฟังแล้ว ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่าทนายจำเลยแถลงว่าจำเลยที่ 1 ได้วางสมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากประจำของธนาคารไว้ในชั้นอุทธรณ์เป็นเงินจำนวน 400,000 บาทเศษ ซึ่งพอกับจำนวนเงินตามคำสั่งศาลฎีกาแล้ว จึงให้จำเลยที่ 1 ทำหนังสือประกันชั้นฎีกาต่อไป
โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ได้นำสมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากประจำธนาคารรวมเงินทั้งสิ้น 411,659.73 บาท มาวางประกันชั้นทุเลาการบังคับคดีในระหว่างอุทธรณ์แต่ตามคำสั่งศาลฎีการะยะเวลานับแต่วันฟ้อง ถึงวันฟังคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีของศาลฎีกา เป็นระยะเวลา 3 ปี 7 เดือน 5 วัน และจำเลยที่ 1ยังต้องวางเงินค่าดอกเบี้ยต่อไปอีก 2 ปี เมื่อคำนวณค่าดอกเบี้ยรวมกับเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วเกินจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 นำมาวางประกันเป็นเงิน 35,528.77 บาท ขอให้ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินหรือหลักประกันมาวางเป็นประกันให้ครบตามคำสั่งของศาลฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ไม่ได้คัดค้านในวันนัด จึงให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมาให้ศาลฎีกาพิจารณา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า อุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ดังกล่าวเป็นเรื่องเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องกับคำสั่งเรื่องขอทุเลาการบังคับคดี ซึ่งเป็นอำนาจแต่ละชั้นศาล ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ได้ ปัญหาวินิจฉัยมีว่า การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่า เงินฝากประจำตามสมุดคู่ฝากบัญชีธนาคารทหารไทย จำกัด สองบัญชีที่จำเลยที่ 1นำมาวางประกันเป็นเงินเพียงพอที่จะเป็นประกันในการทุเลาการบังคับคดีในระหว่างฎีกา และมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ทำหนังสือประกันชั้นฎีกานั้น โจทก์จะต้องคัดค้านเสียในวันนัดก่อนหรือไม่ เห็นว่าตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2535ไม่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นได้สอบถามโจทก์ว่า พอใจในหลักประกันของจำเลยที่ 1 ตามที่จำเลยที่ 1 แถลงหรือไม่ ศาลชั้นต้นคงฟังจากคำแถลงของทนายจำเลยที่ 1 แต่เพียงฝ่ายเดียวและมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ทำหนังสือประกันชั้นฎีกาไปเลยทีเดียวโดยที่โจทก์ไม่มีโอกาสคัดค้าน ทั้งไม่มีกฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องคัดค้านคำสั่งดังกล่าวเสียในวันนัด ดังนั้นการที่โจทก์มิได้คัดค้านจึงไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินหรือหลักประกันมาวางให้ครบตามคำสั่งของศาลฎีกา
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 5 มกราคม 2536 ที่สั่งตามคำร้องของโจทก์ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2535 ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องดังกล่าวต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ