คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2272/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จ่ายเงินค่าจ้างแรงงานให้แก่ลูกจ้างโดยมิได้หักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ ณ ที่จ่าย แม้โจทก์จะเคยยินยอมชำระภาษี ณ ที่จ่าย เป็นการเหมาในอัตราร้อยละ 3 ของค่าแรงงานที่จ่ายแต่ก็จะต้องให้ได้ความว่า ผู้มีเงินได้ที่รับเงินค่าแรงงานไปจากโจทก์นั้นมีเงินได้อยู่ในเกณฑ์จะต้องเสียภาษีเงินได้ด้วยอันจะทำให้โจทก์ต้องรับผิดเช่นเดียวกับผู้มีเงินได้สำหรับจำนวนภาษีที่ต้องชำระตามประมวลรัษฎากรมาตรา 54 ดังนั้น จึงจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวเสียก่อนที่จะวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายแห่งคดีได้ ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยโดยยังมิได้สืบพยานและวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อนี้อันเป็นสาระสำคัญในประเด็นข้อกฎหมายแห่งคดีศาลฎีกาย่อมเห็นเป็นการสมควรให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานและพิจารณาในปัญหาข้อเท็จจริงเสียก่อนแล้วจึงวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายแห่งคดี.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินและเรียกเก็บภาษีเงินได้เพิ่มเติมมายังโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์จ่ายเงินได้พึงประเมินให้แก่คนงานและลูกจ้างของโจทก์โดยไม่หักภาษีเงินได้ไว้ ณ ที่จ่ายและไม่นำส่ง ต้องรับผิดชำระภาษีเงินได้และเงินเพิ่มในปี ๒๕๑๙ ถึง ๒๕๒๑ โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าวจึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยทั้งสามวินิจฉัยแล้วสั่งให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง ทั้งการที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ ๓ ของเงินได้พึงประเมิน โดยไม่ทำการประเมินตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๐ (๑) เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามให้การว่า การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะโจทก์ได้จ่ายเงินค่าแรงให้ลูกจ้างในระยะเวลาปี ๒๕๑๙ ถึงปี ๒๕๒๑ โดยมิได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ โจทก์จึงต้องรับผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๕๐, ๕๒ และถ้าเสียเงินเพิ่มตามกฎหมาย เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินภาษีในอัตราร้อยละ ๓ ของค่าแรงงานตามที่โจทก์ร้องขอ
ศาลแพ่งแผนกคดีภาษีอากรสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า การที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ ๓ ของเงินได้ โดยไม่ทำการประเมินตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา ๕๐ (๑) นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์มิได้หักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ ณที่จ่าย และเมื่อมีการตรวจสอบก่อนที่เจ้าพนักงานประเมินจะทำการประเมิน โจทก์ได้ให้การไว้ยินยอมชำระภาษี ณ ที่จ่ายเป็นการเหมาในอัตราร้อยละ ๓ ของค่าแรงงานที่จ่าย ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาภาษีอากรเคยมีมติให้ปฏิบัติเช่นนี้ได้และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า แม้โจทก์จะเคยยินยอมชำระภาษี ณที่จ่ายเป็นการเหมาในอัตราร้อยละ ๓ ของค่าแรงงานที่จ่ายแต่ก็จะต้องให้ได้ความว่าผู้มีเงินได้ที่รับเงินค่าแรงงานไปจากโจทก์นั้น มีเงินได้อยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้ด้วยอันจะทำให้โจทก์ต้องรับผิดเช่นเดียวกับผู้มีเงินได้สำหรับจำนวนภาษีที่ต้องชำระตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๕๔ คดีนี้โจทก์อ้างว่าเงินค่าจ้างหรือค่าแรงงานที่โจทก์จ่ายให้ลูกจ้างผู้มีเงินได้นั้นไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ลูกจ้างผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงโจทก์ก็ไม่ต้องรับผิดชำระภาษีเงินได้แทนลูกจ้างผู้มีเงินได้ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็อาจจะเป็นการไม่ชอบได้ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวเสียก่อน ที่จะวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายแห่งคดีได้ แต่ศาลแพ่งแผนกคดีภาษีอากรสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยโดยยังมิได้สืบพยานและวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อนี้อันเป็นสาระสำคัญในประเด็นข้อกฎหมายแห่งคดี ศาลฎีกาจึงเห็นเป็นการสมควรให้ศาลภาษีอากรกลางดำเนินการสืบพยานและพิจารณาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวเสียก่อน แล้วจึงวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายแห่งคดีที่ว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบหรือไม่ต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแพ่งแผนกคดีภาษีอากร ให้ศาลภาษีอากรกลางดำเนินการสืบพยานและมีคำพิพากษาใหม่ตามนัยที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น.

Share