แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ป.พ.พ. มาตรา 1556 วรรคสอง ให้อำนาจเด็กฟ้องคดีให้รับรองเด็กเป็นบุตรได้เองโดยเฉพาะ ขณะยื่นฟ้องเด็กซึ่งเป็นโจทก์ก็ยังไม่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย คดีของโจทก์จึงไม่เป็นคดีอุทลุมไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1562 ส่วนฟ้องของโจทก์ในเรื่องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู ซึ่งเป็นผลหลังจากที่มีการรับรองความเป็นบุตรของโจทก์แล้ว และเป็นเรื่องต่อเนื่องจากการรับรองบุตร โจทก์จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่จำเลยรับรองแล้ว ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะบรรลุนิติภาวะ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเป็นสามีภรรยากับมาดาโจทก์ ไม่เคยให้ความอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์และมารดาโจทก์ โจทก์จึงมิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่โจทก์เรียกร้องมาสูงเกินควร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นบุตรของจำเลยซึ่งเกิดจากนางตุ๊กตา เพิ่มพูนธนะวงศ์ ให้จำเลยไปจดทะเบียนรับรองบุตรภายในกำหนด30 วัน ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท จนกว่าโจทก์จะบรรลุนิติภาวะ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า โจทก์เป็นบุตรของจำเลยหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยได้หรือไม่เพียงใด โจทก์มีนางตุ๊กตาเพิ่มพูนธนะวงศ์ เป็นพยานเบิกความ พยานรู้จักกับจำเลยตั้งแต่ปี2507 ขณะนั้นพยานมีอาชีพเป็นหญิงพาร์ตเนอร์อยู่ที่นครถ้ำไนท์คลับวังบูรพา กรุงเทพมหานคร จำเลยเป็นผู้จัดการบริษัทจานนิลวอร์ จำกัดหลังจากพยานรู้จักกับจำเลยและได้เสียกับจำเลยแล้วประมาณ 6 เดือนจึงพากันไปร่วมอยู่กินฉันสามีภรรยาโดยไปเช่าบ้านอยู่ที่ด้านหลังบริษัทเคี่ยงหงวน จำกัด ถนนสุรวงศ์ หลังจากนั้นพยานก็เลิกทำงานที่ไนท์คลับ พยานทำหน้าที่เป็นแม่บ้านให้จำเลยอย่างเดียวตลอดมาเช่าบ้านหลังแรกได้ประมาณ 4 เดือน ก็ย้ายไปเช่าตึกแถว 3 ชั้นอยู่ที่ซอยเซนต์หลุยส์ 3 จำเลยให้ค่าใช้จ่ายในครอบครัวสัปดาห์ละ500 บาท ต่อมาปี 2511 พยานคลอดบุตรที่เกิดกับจำเลย 1 คน คือโจทก์คดีนี้ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน จำเลยให้ความรักใคร่เอ็นดุโจทก์ เป็นที่รู้กันโดยเปิดเผยแก่เพื่อนบ้านว่าจำเลยเป็นสามีพยานและเป็นบิดาโจทก์ เห็นว่า จำเลยกับนางตุ๊กตาพยานซึ่งเป็นมารดาโจทก์รู้จักกันมาก่อนเป็นเวลานานโดยพยานทำงานเป็นหญิงพาร์ตเนอร์อยู่ที่นครถ้ำไนท์คลับ จำเลยก็เบิกความรับว่ารู้จักกับมารดาโจทก์มาประมาณ 20 ปี จำเลยไปเที่ยวที่ไนท์คลับดังกล่าวและเคยพามารดาโจทก์ไปร่วมหลับนอนด้วย เมื่อมารดาโจทก์คลอดบุตรคือตัวโจทก์แล้วได้มีการแจ้งในใบสูติบัตรว่า บิดาโจทก์ชื่อประชาอันเป็นชื่อของจำเลยและแจ้งนามสกุลโจทก์ว่า “สิกวานิช” อันเป็นนามสกุลของจำเลยปรากฏตามใบสูติบัตรเอกสารหมาย จ.1 เอกสารดังกล่าวนายสมศักดิ์ตันบุตร เจ้าพนักงานปกครองเขตบางรักซึ่งเป็นพยานจำเลยเบิกความเจือสมคำพยานโจทก์ว่า เอกสารหมาย จ.1 เป็นใบสูติบัตรแจ้งการเกิดจากโรงพยาบาลตามระเบียบของทางราชการผู้แจ้งจะต้องนำหลักฐานทางทะเบียนของมารดาเด็กและบิดาเด็กไปแสดงเพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ลงทะเบียนได้ถูกต้อง หลักฐานดังกล่าวได้แก่บัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านลักษณะการแจ้งเกิดที่บ้านกับที่โรงพยาบาลไม่แตกต่างกัน ใช้เอกสารอย่างเดียวกันแสดงว่าการแจ้งเกิดตามใบสูติบัตรของโจทก์ดังกล่าวมีหลักฐานการแจ้งเกิดตามระเบียบโดยถูกต้องบ่งชี้โดยแน่ชัดว่าจำเลยเป็นบิดาของโจทก์จริง และเมื่อโจทก์เจริญเติบโตขึ้นเข้ารับการศึกษา จำเลยก็ได้ให้ความอุปการะชำระค่าเล่าเรียนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่โจทก์โดยมอบให้นายจงรักศรีหงศ์ ทนายความเป็นผู้มาชำระแทน ในข้อนี้นายจงรักพยานจำเลยก็เบิกความรับว่าให้ค่าเล่าเรียนแก่โจทก์จริง แต่บ่ายเบี่ยงว่าให้ในฐานะส่วนตัวเป็นการช่วยเหลือสงสารโจทก์ ทั้งจำเลยยังเคยแสดงออกถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อโจทก์ฉันบิดากับบุตร โดยอุ้มโจทก์ด้วยความรักใคร่เอ็นดูปรากฏตามภายถ่ายหมาย จ.5 จ.6 ซึ่งจำเลยก็ยอมรับว่าผู้ชายที่อุ้มเด็กในภาพนั้นคือจำเลย นอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจโทบัญญัติ ศรีสมบูรณ์ และพันตำรวจโทชวลิต เกตานนท์ เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ขณะพยานรับราชการอยู่ที่สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวางมารดาโจทก์และตัวโจทก์มาพบพยานขอให้เรียกจำเลยมาตกลงเรื่องค่าเลี้ยงดูโจทก์ จำเลยให้ทนายความมาตกลงแทนโดยยินยิมจะให้ค่าเลี้ยงดูบุตรแก่มารดาโจทก์เป็นเงิน 50,000 บาท พยานโจทก์ดังกล่าวเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ไม่มีส่วนได้เสียในคดี ไม่มีเหตุระแวงว่าจะเบิกความช่วยเหลือโจทก์ คำเบิกความของพยานจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยกับมารดาโจทก์ไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาโดยอ้างว่ามารดาโจทก์มีอาชีพที่จะไปหลับนอนกับชายที่มาเที่ยว เห็นว่า ในชั้นพิจารณาจำเลยก็ยอมรับว่าเคยหลับนอนกับมารดาโจทก์ แม้จำเลยจะอ้างว่าใช้ถุงยางอนามัยก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆรับฟังไม่ได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีภรรยาถูกต้องตามกฎหมายและมีบุตร 3 คน ไม่อาจที่จะมาอยู่กินกับมารดาโจทก์ได้นั้น เห็นว่าชายที่มีภรรยาโดยถูกต้องตามกฎกมาย ก็อาจมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่นจนเกิดบุตรด้วยกันได้ อันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวเลื่อนลอย รับฟังไม่ได้เช่นกัน ศาลฎีกาเห็นว่าคำพยานโจทก์มีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานจำเลย เชื่อว่าจำเลยและนางตุ๊กตามารดาโจทก์ได้อยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผยในระยะเวลาซึ่งมารดาโจทก์อาจตั้งครรภ์ได้ และมีพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าโจทก์เป็นบุตรจำเลย โจทก์จึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1555(5) (7) ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ข้อพิจารณาต่อไปมีว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยได้หรือไม่เพียงใด ในประการแรกที่ว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบิดาหรือไม่นั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1556 วรรค 2 ได้บัญญัติไว้แล้วว่า “เมื่อเด็กมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์ เด็กต้องฟ้องเอง ทั้งนี้ โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม” แสดงว่ากฎหมายให้อำนาจเด็กฟ้องคดีให้รับรองเด็กเป็นบุตรได้เองโดยเฉพาะ อีกทั้งขณะยื่นฟ้องโจทก์ก็ยังไม่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย คดีของโจทก์จึงไม่เป็นคดีอุทลุม ไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1562 และดังนั้นฟ้องของโจทก์ในเรื่องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูซึ่งเป็นผลหลังจากที่มีการรับรองความเป็นบุตรของโจทก์แล้วและเป็นเรื่องต่อเนื่องจากการรับรองบุตรนั่นเอง โจทก์จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีในประการหลังด้วย และปัญหาต่อไปที่ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/38 บัญญัติว่าค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างสามีภริยาหรือระหว่างบิดามารดากับบุตรนั้นย่อมเรียกจากกันได้ในเมื่อฝ่ายที่ควรได้รับอุปการะเลี้ยงดูไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูหรือได้รับการอุปการะเลี้ยงดูไม่เพียงพอแก่อัตภาพ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ศาล่างทั้งสองกำหนดให้นั้นสูงเกิดสมควร เห็นว่า โจทก์กำลังศึกษาเล่าเรียน จำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการศึกษา ทั้งค่าครองชีพในปัจจุบันก็สูงขึ้นมาก เมื่อนำรายได้ของจำเลยซึ่งจำเลยสามารถให้ได้มาพิจารณาประกอบ ค่าอุปการะเลี้ยงดู ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้โจทก์เดือนละ 3,000 บาท จนกว่าโจทก์จะบรรลุนิติภาวะนั้นนับว่าเหมาะสมแล้วฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยไปจดทะเบียนรับรองบุตรภายในกำหนด 30 วัน ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น ไม่ชอบ เพราะตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัวพ.ศ. 2478 มาตรา 20 บัญญัติให้ผู้มีส่วนได้เสียเพียงแต่ยื่นสำเนาคำพิพากษาอันถึงที่สุดซึ่งรับรองถูกต้องแล้ว เพื่อให้บันทึกในทะเบียนเท่านั้น ประกอบกับโจทก์มิได้มีคำขอบังคับดังกล่าวมาในคำฟ้อง จึงเป็นกรณีที่พิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142วรรคแรก
พิพากษาแก้เป็นว่า ในส่วนที่บังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนรับรองบุตรนั้นให้ยกเสีย ค่าทนายความชั้นฎีกาเป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.