แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยทั้งสองทำร้ายกันมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากจำเลยที่2มีเรื่องโต้เถียงกันกับย. ซึ่งเดินมากับจำเลยที่1ก่อนต่อมาจำเลยทั้งสองได้มาพบกันอีกและโต้เถียงกันก่อนที่จะลงมือทำร้ายกันตามพฤติการณ์ถือได้ว่าต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาททำร้ายแม้ฝ่ายใดจะลงมือทำร้ายก่อนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะเมื่อสมัครใจวิวาทกันแล้วจะอ้างว่าตนทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อป้องกันสิทธิของตนไม่ได้ คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแม้ศาลฎีกาจะมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงได้เพราะผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้รับรองว่าเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดแต่ข้อเท็จจริงที่คู่ความฎีกานั้นจะต้องเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้ยกปัญหาที่ฎีกาขึ้นว่ากล่าวในชั้นศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลย จำเลยเพียงแต่ชกต่อยกอดปล้ำกันมิได้ใช้อาวุธทำร้ายและเหตุที่ทำร้ายกันก็เกิดจากการวิวาทโต้เถียงไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยรับโทษจำคุกมาก่อนพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีสิ่งแวดล้อมของจำเลยทั้งสองและสภาพความผิดแล้วศาลรอการลงโทษจำเลยไว้ตามป.อ.มาตรา56ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ต่างสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ 1 ชกต่อยจำเลยที่ 2หลายที ที่บริเวณใต้ขอยตาและดั้งจมูก จำเลยที่ 2 ก็ได้ชกต่อยจำเลยที่ 1 หลายทีบริเวณใบหน้า ศีรษะและร่างกายหลายแห่ง เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองต่างได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แบะ 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองต่างสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกัน จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จำคุกคนละ 3 เดือน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกว่า จำเลยที่ 2 ก่อเหตุวิวาทกับบุคคลอื่นก่อนแล้วลามมาก่อเหตุกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2หาเรื่องชกต่อยจำเลยที่ 1 ก่อน การกระทำของำเลยที่ 1 จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยที่ 2 ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองมิได้เป็นการทะเลาะวิวาท จำเลยที่ 1 เมาสุราตรงเข้าชกต่อยจำเลยที่ 2 ก่อน จำเลยที่ 2 อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จึงมีการกอดปล้ำกัน การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ปรากฏว่าที่จำเลยทั้งสองทำร้ายซึ่งกันและกันนั้น สาเหตุสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 2 กับนายยงยุทธที่เดินมากับจำเลยที่ 1 ได้มีเรื่องโต้เถียงกันก่อน นายฐานะพยานโจทก์ที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับ เบิกความว่า การโต้เถียงกันเกิดจากนายยงยุทธกับจำเลยที่ 1 ยืนอยู่กลางถนนขวางทางที่จำเลยที่ 2 จะไป นายยงยุทธพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ 2ขับรถจักรยานยนต์ชนนายยงยุทธแล้วหาว่านายยงยุทธเป็นนักเลง แต่จำเลยทั้งสองก็ยังมิได้ใช้กำลังประทุษร้ายกันในขณะนั้น ต่อมาจำเลยทั้งสองพบกันที่หน้าร้านนางสุนันทา จึงได้ทำร้ายซึ่งกันและกันโดยต่างฝ่ายต่างนำสืบว่าฝ่ายตรงข้ามชกตนก่อน แต่คดีได้ความจากคำนางสุนันทาพยานโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองได้โต้เถียงกันก่อนที่จะเข้ากอดรัดและลงมือทำร้ายกัน ตามพฤติการณ์ถือได้ว่าต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาทกัน ดังนั้น แม้ฝ่ายใดจะลงมือทำร้ายฝ่ายตรงข้ามก่อนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะเมื่อสมัครใจวิวาทกันแล้ว จะอ้างว่าตนทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อป้องกันสิทธิของตน เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามลงมือทำร้ายตนก่อนไม่ได้ ศาลล่างวินิจฉัยขี้ขาดปัญหานี้มาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองดังกล่าวฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เมาสุราและขัดขืนการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจ บาดแผลของจำเลยที่ 1 อาจเกิดภายหลัง มิใช่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 2 นั้น คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 แม้ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อเท็จจริงได้ เพราะผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาแต่ข้อเท็จจริงที่คู่ความยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาก็ต้องเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ปรากฏว่าจำเลยที่ 2มิได้ยกปัญหาตามฎีกาข้อนี้ขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลำีกาจึงไม่วินิจฉัยฎีกาข้อนี้ให้
จำเลยทั้งสองเพียงแต่ชกต่อยและกอดปล้ำกัน มิได้ใช้อาวุธทำร้ายกัน และเหตุที่ทำร้ายกันเก็เกิดจากการวิวาทโต้เถียง ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยรับโทษจำคุกมาก่อน ได้พิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดี สิ่งแวดล้อมของจำเลยทั้งสอง กับสภาพความผิดแล้วเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตัวเสียใหม่”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำเลยทั้งสองไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.