แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การย้ายที่เก็บแร่ เพื่อความปลอดภัยโดยสุจริต มิได้เจตนาหลีกเลี่ยงเสียค่าภาคหลวงแร่โดยได้แจ้งปริมาณและมีหนังสือกำกับแร่เคลื่อนที่ไว้แล้วนั้น ไม่มีความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองแร่จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 2 ให้เป็นผู้จัดการทำเหมืองรายนี้แทนจำเลยที่ 2 จำเลยได้สมคบกันขนย้ายแร่ออกนอกเขตประทานบัตรโดยมิได้รับอนุญาต และเจตนาจะหลีกเลี่ยงไม่เสียค่าภาคหลวงแร่ จำเลยที่ 2 เคยต้องโทษมาแล้ว จำเลยทั้งสองปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่จำเลยขนย้ายแร่ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงเสียค่าภาคหลวง เพราะได้แจ้งปริมาณแร่และทำหนังสือกำกับแร่เคลื่อนที่แจ้งไว้แล้ว ยังจะเอาผิดตามพระราชบัญญัติเก็บค่าภาคหลวงแร่ 2486 มาตรา 9, 10 ไม่ได้ แต่เป็นผิดต่อพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่แก้ไขเพิ่มเติม 2474 มาตรา 20 ปรับจำเลยคนละ600 บาท เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 72 และลดกึ่งหนึ่งคงปรับจำเลยที่หนึ่ง 300 บาท จำเลยที่สอง 400 บาท
ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า ข้อที่อ้างว่าการที่จำเลยขนย้ายแร่โดยเจตนาหลีกเลี่ยงไม่เสียค่าภาคหลวงนั้น โจทก์ไม่มีพยานมาสืบตามพระราชบัญญัติการเก็บภาคหลวงแร่ 2486 มาตรา 9 หาได้หมายถึงการขนย้ายไปเก็บดังเช่นคดีนี้ไม่และจำเลยขนย้ายแร่โดยมีหนังสือกำกับแร่เคลื่อนที่ ไม่ผิดพระราชบัญญัติทำเหมืองแร่แก้ไขเพิ่มเติม 2474 มาตรา 20 พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้มีปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้ว ศาลล่างฟังต้องกันว่าจำเลยขนย้ายแร่เพื่อความปลอดภัย มิได้เจตนาหลีกเลี่ยงเสียค่าภาคหลวงแร่ และการขนย้ายแร่มิได้ประสงค์ส่งไปนอกราชอาณาจักรหรือเพื่อจำหน่ายในราชอาณาจักร คดีไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติเก็บค่าภาคหลวงแร่ 2486 มาตรา 9, 10 เพราะมิได้ห้ามถึงการย้ายที่เก็บแร่เพื่อความปลอดภัยโดยสุจริต และการขนย้ายแร่ จำเลยก็มีหนังสือกำกับแร่เคลื่อนที่ เป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ แก้ไขเพิ่มเติม 2474 มาตรา 17 แล้ว จึงไม่ผิด มาตรา 20
พิพากษายืน