แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ย่อยาว
โจทย์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์ตามบาญชี คือ ที่ดินแลตึกดังที่โจทย์จำเลยได้ตกลงกันปรากฎในรายงานของศาลแพ่ง โดยอ้างว่าเปนทรัพย์ของเจ้าหมื่นเสมอใจราช (จู โชติกะเสถียร) บิดาโจทย์ โจทย์ปกครองมากับพระยารณไชย ฯ (ศุข โชติกะเสถียร) พี่ชายโจทย์ซึ่งเปนสามีจำเลย พระยารณไชย ฯ ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๙ โจทย์กับบุตรภรรยาของพระยารณไชย ฯ ได้ปกครองเปนเจ้าของในทรัพย์นั้นต่อมา บัดนี้โจทย์ไม่มีความประสงค์ที่จะร่วมส่วนกรรมสิทธิในทรัพย์รายนี้ต่อไป จึงขอแบ่งจากจำเลย ฯ
จำเลยให้การตัดฟ้องโจทย์ว่า โจทย์ฟ้องเกินกำหนดอายุความมรฎก เพราะเจ้าหมื่นเสมอใจราช (จู โชติกะเสถียร) ได้ถึงแก่กรรมมาเกิน ๑๐ ปีแล้ว แลว่าโจทย์ได้รับส่วนแบ่งมรฎกของเจ้าหมื่นเสมอใจราชไปมากแล้ว กับคัดค้านว่าโจทย์ไม่ได้ปกครองในที่รายนี้ เหตุที่โจทย์ได้เข้ามาอยู่ก็โดยทางอาศรัย ฯ
ในชั้นต้นศาลแพ่งได้ลงมือพิจารณาสอบถามโจกย์จำเลยแลบันทึกไว้ในรายงานลงวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๑ ว่าดังนี้ “(๑) คดีนี้ศาลเห็นว่าตามฟ้องแลคำให้การของจำเลยยังเคลือบคลุมไม่ทราบว่าใครเปนผู้รับทรัพย์มรฎกของพระยารณไชย ฯ แลเพราะเหตุไรจำเลยจึงยอมรับเข้ามาว่าความคดีนี้กับโจทย์ จึงได้สอบถามโจกย์จำเลยต่อไป ทนายโจทย์แถลงว่าผู้ใดจะเปนผู้รับทรัพย์มรฎกของพระยารณไชย ฯ ไม่ทราบ แต่โจทย์เห็นจำเลยเปนภรรยาพระยารณไชย ฯ แลเข้าปกครองทรัพย์รายที่โจทย์ฟ้องนี้ด้วย โจทย์จึงฟ้องขอแบ่งจากจำเลย ฝ่ายทนายจำเลยแถลงว่าทรัพย์มรฎกรายที่โจทย์ฟ้องนี้ นายส่วน นายโสดบุตรพระยารณไชย ฯ แลเปนบุตรจำเลยด้วย เปนผู้รับทรัพย์มรฎกรายนี้ของพระยารณไชย ฯ จำเลยหาได้เปนผู้รับมรฎกไม่ แต่จำเลยเปนผู้ปกครองทรัพย์รายนี้แทนเรียนวิชาที่ยุโรป นายโสดยังเปนเด็กอายุไม่ครบ ๒๐ ปี เพราะฉนั้นจำเลยจึงยอมรับว่าความเรื่องนี้ต่อสู้กับโจทย์แทนนายส่าน นายโสด ไม่คัดค้าน แต่โจทย์ก็ได้ทราบแล้วว่านายส่าน นายโสดเปนผู้รับมรฎกพระยารณไชย ฯ หาใช่จำเลยไม่ ” เมื่อศาลแพ่งสอบถามโจทย์จำเลยได้ความตามที่กล่าวมาแล้วนี้ ศาลแพ่งจึงได้พิจารณาฟังคำพยานโจทย์จำเลยต่อไปจนเสร็จสำนวน แล้วพิพากษาให้ยกฟ้องโจทย์เสียโดยอ้างเหตุว่า จำเลยไม่ควรจะยื่นมือเข้ามาว่าความเสียเอง โจทย์ฟ้องจำเลยผิดตัว โจทย์ควรจะฟ้องผู้รับมรฎกคือ นายส่าน นายโสด เหตุที่จำเลยเปนมารดานายส่าน นายโสดผู้รับมรฎกแลปกครองรักษาทรัพย์แทนอยู่นั้น ยังไม่เปนเหตุพอที่จะให้โจทย์ฟ้องเรียกทรัพย์จากจำเลยเปนการส่วนตัว แลการที่โจทย์ฟ้องผิดตัวนี้ไม่เปนผลในทางบังคับความให้เด็ดขาดลงได้ เพราะคำพิพากษานั้นไม่มัดนายส่าน นายโสดซึ่งเปนคนนอกฟ้องนอกสำนวนจึงให้ยกฟ้องโจทย์เสีย ฯ
โจทย์อุทธรณ ศาลอุทธรณกรุงเทพ ฯ พิพากษายืนตามศาลเดิม
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ฟังคารมทนายโจทย์จำเลย แลประชุมปฤกษาสำนวนเรื่องนี้แล้ว เห็นว่าคดีนี้มีปัญหาในข้อต้นว่า โจทย์จะฟ้องจำเลยได้ฤาไม่ พร้อมกันเห็นว่าถ้าปัญหานี้คดีของโจทย์มีแค่กล่าวในฟ้อง แลไม่ได้มีรายงานของศาลเดิม ซึ่งได้จดถ้อยคำขอโจทย์จำเลยไว้ตามที่กล่าวมาแล้ว คดีก็มีทางที่จะวินิจฉัยว่า โจทย์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยดังความเห็นของศาลล่างได้ แต่เมื่อจำเลยได้ให้ถ้อยคำพร้อมด้วยโจทย์เปนข้อตกลงต่อน่าศาล ซึ่งเปนทำนองแก้ฟ้องแลคำให้การ แล้วศาลก็ได้พิจารณาคดีสืบพยานโจทย์จำเลยต่อไปจนเสร็จสำนวนดังนี้ คดีของโจทย์ก็ยังมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ตามถ้อยคำของจำเลยที่รับสู้ความกับโจทย์ดังนั้น จะฟังได้เพียงไรฤาไม่ ในปัญหาข้อนี้พร้อมกันเห็นว่า นายส่วนนั้นได้ความว่าเปนผู้ใหญ่อายุเกิน ๒๐ ปีแล้ว โจทย์จำเลยไม่ได้แสดงหลักฐานอย่างใด นอกจากคำรับของจำเลย จะฟังว่าจำเลยเข้าว่าความแทนนายส่านอันชอบด้วยกฎหมายไม่ได้ จึงชี้ขาดว่าในเวลานี้นายส่านไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่ฝ่ายนายโสดนั้นได้ความว่าเปนเด็กจำเลยเปนมารดาได้ปกครองตัวแลทรัพย์อยู่โดยประเพณี คดีของโจทย์จำเลยก็มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาแลวินิจฉัยต่อไปได้ว่า โจทย์จะเปนเจ้าของทรัพย์ดังที่โจทย์อ้างว่าเปนของโจทย์ได้รับมรฎกต่อมาจากบิดาโจทย์จริงเพียงไรฤาไม่ ไม่ควรจะยกฟ้องของโจทย์เสียแต่ในเบื้องต้น ฯ
อาศรัยเหตุผลดังกล่าวมานี้ จึงพร้อมกันพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างเสีย ให้ศาลเดิมพิจารณา
แลตัดสินใหม่ว่า โจทย์ควรจะมีส่วนได้ในทรัพย์ที่โจทย์หาว่าเปนมรฎกของบิดาโจทย์เพียงไรฤาไม่ส่วนค่าธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ระงับไว้ก่อน ต่อเมื่อคดีถึงศาลล่างได้ตัดสินก็ให้ชี้ขาดถึงข้อค่าธรรมเนียมชั้นนี้เสียด้วย ฯ