คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2241/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเดิมจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ให้รื้อเรือนออกไปจากที่พิพาท โจทก์ต่อสู้ว่าซื้อที่พิพาทจากตัวแทนจำเลยศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การตั้งตัวแทนไม่มีหนังสือมอบอำนาจมาแสดง รับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทจากจำเลย โจทก์อุทธรณ์ ระหว่างอุทธรณ์โจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้อ้างว่า ซื้อที่พิพาทจากตัวแทนจำเลย ขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าเป็นฟ้องซ้ำ และคู่ความตกลงท้ากันให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148หรือไม่ ศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะที่โจทก์จำเลยท้ากันให้ศาลวินิจฉัยประเด็นข้อนี้ และศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้ตามคำท้านั้น ศาลอุทธรณ์ยังมิได้พิพากษาคดีเดิม คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ส่วนจะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามมาตรา 144หรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นที่คู่ความท้ากัน เมื่อไม่เห็นสมควร ศาลฎีกาก็ไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัย (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 31/2515)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 ตัวแทนจำเลยที่ 1และได้ชำระเงินเสร็จสิ้นแล้ว จำเลยไม่ยอมโอน ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้โจทก์

จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ขายที่พิพาทให้โจทก์ ในที่พิพาทมีเรือนโจทก์ปลูกอยู่ จำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 139/2511 ซึ่งโจทก์ต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายที่พิพาทให้โจทก์ อันเป็นประเด็นซึ่งศาลหยิบยกขึ้นวินิจฉัยแล้วว่า ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 ทำการแทนจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์ไม่มีหนังสือมอบอำนาจมาแสดง รับฟังไม่ได้แม้โจทก์อุทธรณ์ แต่ประเด็นข้อนี้โจทก์หาได้ยกขึ้นอุทธรณ์ไม่ จึงเป็นอันถึงที่สุดแล้ว โจทก์จะยกเอาประเด็นข้อนี้ขึ้นฟ้องร้องเป็นคดีนี้อีกไม่ได้ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน โจทก์ฟ้องบังคับให้โอนที่ดินไม่ได้

วันนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความตกลงท้ากันให้ศาลวินิจฉัยเพียงข้อเดียวว่า คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 139/2511 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 หรือไม่ถ้าต้องห้าม โจทก์ยอมแพ้ หากไม่ต้องห้าม จำเลยยอมแพ้คดี แล้วโจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน ขอให้ศาลพิพากษาตามที่ท้ากันนี้

ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่ต้องห้าม แต่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยที่ 2 ให้โอนที่พิพาทไม่ได้ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 โอนที่พิพาทแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 จัดการขายที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ได้ซื้อไว้ และได้ครอบครองปลูกเรือนอยู่อาศัยตลอดมา กับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 139/2511 ที่จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ให้การต่อสู้ว่าในระหว่างที่โจทก์ (จำเลยที่ 1 คดีนี้) กำลังขอให้ทางสำนักงานที่ดินออกโฉนดที่พิพาทอยู่นั้น ตัวแทนโจทก์ได้จัดการขายที่พิพาทให้จำเลย ซึ่งจำเลยได้ซื้อไว้โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และได้ครอบครองโดยความสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา ทั้งได้ทำการก่อสร้างบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัยขึ้น 1 หลัง ประมาณ 5 ปีแล้วนั้น มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน และในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 139/2511 ศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ว่า ที่จำเลย (โจทก์คดีนี้) อ้างว่านายปราณี ศิริธร ทำการแทนโจทก์(จำเลยที่ 1 คดีนี้) จำเลยไม่มีหนังสือมอบอำนาจมาแสดงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 เป็นการต้องห้ามมิให้นำสืบ จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ซื้อที่พิพาทมาจากโจทก์ จำเลยเข้าปลูกเรือนในที่พิพาทโดยไม่มีสิทธิ แล้วจำเลย (โจทก์คดีนี้) ได้อุทธรณ์ในคดีนั้นต่อมา ขอให้ศาลอุทธรณ์รับฟังว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยได้รับซื้อมาจากโจทก์ เพราะนายปราณี ศิริธร เป็นตัวแทนของโจทก์ให้มาทำการขายที่พิพาท ซึ่งเป็นประเด็นที่จำเลยยกขึ้นอุทธรณ์รวมมากับประเด็นอื่นแล้ว ดังนี้ ประเด็นข้อนี้จึงยังไม่ยุติดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะที่โจทก์จำเลยท้ากันให้ศาลวินิจฉัยประเด็นข้อนี้ และศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 แพ้ตามคำท้านั้น ศาลอุทธรณ์ยังมิได้พิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 139/2511 คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุดศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่จึงเห็นว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ส่วนจะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามมาตรา 144 หรือไม่ไม่ใช่ประเด็นที่คู่ความท้ากัน และศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่าไม่สมควรที่จะหยิบยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัย

พิพากษายืน

Share