แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยจ้างโจทก์โดยมีกำหนดระยะเวลาเป็นช่วงๆ ช่วงละ 6 เดือน ครั้งสุดท้ายมีกำหนดระยะเวลา 4 เดือน สัญญาจ้างระบุวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดแห่งสัญญาไว้ทุกช่วงจึงถือว่า เป็นสัญญาที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ตามกำหนดระยะเวลานั้น จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ทั้งถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้สมัครเข้าทำงานในโรงกลั่นน้ำมันทหารบางจาก ในฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่ได้ทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์เป็นการจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน ในสัญญาจ้างระบุว่าถ้าหากจำเลยทั้งสี่ต้องการเลิกจ้าง โจทก์ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วันต่อมาจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยที่ 4 ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ไม่อาจถูกฟ้องเป็นจำเลยได้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เป็นราชการส่วนกลาง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จำเลยทั้งสี่ไม่เคยจ้างโจทก์ หากจะฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย จำเลยก็ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายและค่าชดเชยแก่โจทก์ เพราะโจทก์เป็นลูกจ้างชั่วคราวและมีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและถูกเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ ฝ่าฝืนข้อบังคับและระเบียบเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรง จงใจทำให้นายจ้างเสียหาย สนับสนุนผู้กระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่อยู่ในฐานะเป็นนายจ้างโจทก์โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 4 แต่จำเลยที่ 4 ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล เป็นเพียงส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงเป็นนายจ้างโจทก์แต่ผู้เดียวโจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยที่ 1 โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการจ้าง จำเลยที่ 1เลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด และไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าเสียหาย ค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินค่าชดเชยนับแต่วันเลิกจ้าง ในต้นเงินค่าเสียหายและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านับแต่วันฟ้อง ไปจนกว่าชำระเสร็จ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 4 บรรจุโจทก์เข้าเป็นลูกจ้างมีกำหนด 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2524 ครบกำหนดวันที่30 กันยายน 2524 ต่อมาจำเลยที่ 1 อนุมัติให้จ้างโจทก์ทำงานต่ออีก 6 เดือน นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2524 เป็นต้นไป ครบกำหนดแล้วจ้างต่ออีก 6 เดือน ครั้งสุดท้ายจำเลยที่ 1 อนุมัติให้จ้างโจทก์ต่อนับแต่เดือนตุลาคม 2525 ถึงเดือนมกราคม 2526 เมื่อสิ้นเดือนมกราคม 2526 ตามกำหนด จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้ออกคำสั่งจ้างโจทก์ต่อไป เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 จ้างโจทก์โดยมีกำหนดระยะเวลาเป็นช่วง ๆ ช่วงละ 6 เดือน ครั้งสุดท้ายมีกำหนดระยะเวลา 4 เดือน สัญญาจ้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์เป็นสัญญาที่ได้ระบุวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดแห่งสัญญาไว้ทุกช่วง จึงถือว่าเป็นสัญญาที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์โดยมิได้มีคำสั่งจ้างโจทก์ต่อไปอีก เท่ากับเป็นการเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น จำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายจ้างได้รับยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 46 วรรคท้าย แก้ไขเพิ่มเติมโดย (ฉบับที่ 6) ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2521 ข้อ 2 และไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 ทั้งถือไม่ได้ว่าการเลิกจ้างดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง