แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ขับรถร่วมกันนำรถยนต์แท็กซี่คันเกิดเหตุมาขายให้ผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็น นางส. เจ้าของรถและจำเลยที่ 1 เป็นผู้มอบอำนาจในการโอนรถยนต์ให้แก่ผู้เสียหายเอกสารเหล่านั้นเป็นเอกสารปลอม จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมและฐานฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นแต่การที่จำเลยร่วมกันนำเอกสารปลอมมาใช้ก็โดยมีเจตนาที่จะฉ้อโกงผู้เสียหายนั่นเอง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมเอกสารใช้เอกสารปลอมและฉ้อโกงผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 341, 342 และคืนหรือใช้เงินแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268, 341, 342, 83, 91 ฐานใช้เอกสารปลอมจำคุกคนละ 1 ปี ฐานฉ้อโกงจำคุกคนละ 1 ปี รวมจำคุกคนละ 2 ปี
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะตัวจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า เอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.5 เป็นเอกสารปลอม และวินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้นำจำเลยที่ 2 กับพวกเอารถมาขายแก่ผู้เสียหาย และจำเลยที่ 2 แสดงตัวเป็นนางสุพินเจ้าของรถอันแท้จริง เมื่อตกลงซื้อขายกันแล้ว จำเลยที่ 1 เป็นผู้มอบเอกสารหลักฐานหมาย จ.1 ถึง จ.5 ให้แก่ผู้เสียหาย และเป็นผู้นัดผู้เสียหายไปโอนรถ เมื่อผู้เสียหายไปคอยที่กองทะเบียนกรมตำรวจ ตามกำหนดนัดเพื่อรับโอนรถ จำเลยทั้งสองกับพวกก็ไม่ไปตามนัด การกระทำและพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ร่วมกับจำเลยที่ 2 มาตั้งแต่เริ่มต้นนำรถมาขายตลอดจนได้มอบเอกสารหลักฐานการโอนรถให้ผู้เสียหายดังกล่าว ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมสมคบกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดโดยรู้อยู่แล้วว่าเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.5 เป็นเอกสารปลอม แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าความผิดฐานใช้เอกสารปลอมและฐานฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นเป็นความผิดสองกระทงและเรียงกระทงลงโทษจำเลยโดยศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขในข้อนี้นั้น เห็นว่ายังคลาดเคลื่อนอยู่เพราะการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันนำเอกสารปลอมหมาย จ.1 ถึง จ.5 มาใช้ก็โดยมีเจตนาที่จะฉ้อโกงผู้เสียหายนั่นเอง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ทั้งเหตุดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี จึงให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268, 341, 342 ให้ลงโทษบทหนักตามมาตรา 268 ประกอบด้วย มาตรา 265 จำคุกจำเลยคนละ 2 ปี ให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้เงินจำนวน 30,000 บาทแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์