แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ความสัมพันธ์ของผู้เสียหายกับจำเลยเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมในลักษณะของคนที่รักกันระหว่างไปทำงานที่โรงสีข้าวจำเลยเข้าไปในห้องพักข่มขืนกระทำชำเราต่างวันและเวลากันถึง 2 ครั้งผู้เสียหายก็มิได้เอะอะหรือแพร่งพรายให้ผู้ใดทราบ แม้แต่มารดาของตนซึ่งไปทำงานแห่งเดียวกันเพิ่งบอกเมื่อออกจากงานและกลับถึงบ้านแล้วหลายวันบิดามารดาผู้เสียหายเรียกจำเลยไปสอบถามทำนองบังคับให้ยอมรับผู้เสียหายเป็นภรรยาเมื่อจำเลยไม่ยอมทำตาม จึงกล่าวหาดำเนินคดีแก่จำเลยดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 จำคุกกรรมละ 2 ปี รวม 4 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์นำสืบว่าผู้เสียหายเป็นญาติกับภรรยาจำเลย เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2525 ผู้เสียหายและจำเลยไปสมัครงานเป็นลูกจ้างโรงสีข้าวสหกรณ์ธัญญะกิจ ตำบลสามง่ามอำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ผู้เสียหายได้งานทำในวันนั้น และพักอยู่ในห้องแถวคนงานติดกับห้องพักของพี่ชายและพี่สะใภ้ของจำเลย ซึ่งจำเลยได้มาอาศัยพักอยู่ด้วย ครั้นเวลาประมาณ 19 นาฬิกา หลังจากผู้เสียหายเลิกงาน เมื่อเวลา 18 นาฬิกาแล้ว ได้ยืมไฟแช็คของจำเลยเพื่อหุงหาอาหาร เมื่อก่อไฟแล้วก็คืนไฟแช็คให้จำเลย แล้วหันกลับเข้าห้องจะเอาหม้อหุงข้าว จำเลยเดิมตามเข้าไปในห้องเข้ากอดผู้เสียหายทางด้านหลัง ผลักผู้เสียหายล้มคว่ำผู้เสียหายพลิกตัวจะลุกหนี จำเลยขึ้นนั่งคร่อม ใช้มีดจี้คอ ถอดผ้าถุงและกางเกงในข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง แล้วพูดข่มขู่ไม่ให้ผู้เสียหายแพร่งพรายให้ผู้อื่นล่วงรู้ รุ่งขึ้นจำเลยได้กลับไปอยู่บ้านจนกระทั่งนางสมพร ดอกแก้วพี่สะใภ้จำเลยไปตามให้ไปทำงานที่โรงสีโดยมีนางประทวน ภู่อ่อง มารดาผู้เสียหายตามมาทำงานด้วยกันเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2525 ครั้นต่อมาในวันที่ 13 กรกฎาคม 2525 หลังจากผู้เสียหายเลิกงานเที่ยงคืนกลับห้องพักส่วนมารดาผู้เสียหายกับจำเลยซึ่งเข้างานเวรดึกจากเที่ยงคืนถึงรุ่งเช้าเวลา6 นาฬิกา คืนนั้นเวลาประมาณ 3 นาฬิกา ขณะผู้เสียหายนอนอยู่ในห้องพักกับน้องอายุ 3 ขวบ จำเลยเข้าไปขู่บังคับข่มขืนใจกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง และขู่ให้งำความเช่นครั้งก่อน ผู้เสียหาย มารดาผู้เสียหาย และจำเลยทำงานที่โรงสีอยู่ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2525 คนทั้งสามพากันกลับบ้านเดิมของตนที่ตำบลวังจิก อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตรหลังจากนั้นผู้เสียหาย จึงได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้มารดาทราบ และได้มีการเรียกจำเลยไปสอบถามเพื่อให้รับผู้เสียหายเลี้ยงดูเป็นภรรยา ด้วยเกรงว่าหากรู้ถึงหูพี่ชายผู้เสียหายซึ่งเป็นคนมุทะลุอาจถึงกับฆ่ากันได้ แต่จำเลยไม่ยอมรับ บิดาผู้เสียหายจึงนำความเข้าแจ้งต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลย
จำเลยนำสืบว่า ผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยร่วมประเวณีด้วยความสมัครใจ ระหว่างกลับไปอยู่บ้านผู้เสียหายชักชวนจำเลยให้ทิ้งภรรยาแล้วพาผู้เสียหายหนีไปอยู่เสียด้วยกัน จำเลยไม่ยอมทำตาม จำเลย ภรรยาจำเลยและแม่ยายจำเลยได้ไปพบพูดจากับบิดาผู้เสียหายจะให้จำเลยรับเลี้ยงจำเลยไม่ยอม บิดาผู้เสียหายโกรธถึงกับคว้าไม้ตีจำเลย
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดดังโจทก์ฟ้องหรือไม่คงได้ความตามคำเบิกความของผู้เสียหายว่า ระหว่างไปทำงานที่โรงสีข้าวสหกรณ์ธัญญะกิจ ถูกจำเลยเข้าไปในห้องพักข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งต่างวันและเวลากันถึง 2 ครั้ง ผู้เสียหายก็มิได้เอะอะหรือแพร่งพราย เรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้ใดทราบ แม้แต่มารดาของตนซึ่งไปเป็นลูกจ้างทำงานแห่งเดียวกัน การถูกข่มขืนครั้งแรกแม้มารดาของผู้เสียหายจะยังไม่ได้ไปทำงานและพักอยู่ด้วยกันก็ตาม แต่เมื่อมารดาของผู้เสียหายไปได้งานทำและพักอยู่ที่แห่งเดียวกันแล้ว ต่อมาจึงถูกจำเลยข่มขืนเป็นครั้งที่สอง ผู้เสียหายก็มิได้แพร่งพราย เพิ่งจะไปบอกเล่าให้มารดาฟังหลังจากออกจากงานกลับถึงบ้านแล้วอีกหลายวัน จนได้มีการสอบถามจำเลยบังคับให้รับผู้เสียหายเลี้ยงดูเป็นภรรยา เมื่อจำเลยไม่ยอมรับที่จะให้เลิกกับภรรยาเดิมจึงทำให้เกิดเรื่องเป็นคดีกันขึ้น ฝ่ายจำเลยเองก็ยอมรับว่าได้มีการได้เสียกับผู้เสียหายจริง แต่เกิดด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่าย นางสมพร ดอกแก้ว พยานโจทก์ซึ่งอยู่ห้องแถวติด ๆ กับห้องผู้เสียหาย และนายประเสริฐ สุขเกิด ผู้ใหญ่บ้านและเป็นกรรมการคนหนึ่งของโรงสีสหกรณ์ธัญญะกิจ พยานจำเลย เบิกความต้องกันว่า สังเกตเห็นความสัมพันธ์ของผู้เสียหายกับจำเลยแล้วต่างเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมเป็นไปในลักษณะของคนรักกัน ก่อนที่ผู้เสียหายจะนำความไปแจ้งกล่าวหาจำเลยก็ได้ความชัดว่าบิดามารดาของผู้เสียหายไปสอบถามเป็นทำนองบังคับให้จำเลยยอมรับผู้เสียหายเป็นภรรยา เมื่อจำเลยไม่ยอมทำตามจึงได้มีการกล่าวหาดำเนินคดีแก่จำเลยขึ้น อันเป็นข้อพิรุธชวนสงสัยในพฤติการณ์ของเหตุแห่งการแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยเป็นอย่างยิ่ง พยานหลักฐานโจทก์เป็นที่สงสัยไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน