คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2234/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์ฟ้องเรียกสินส่วนตัวของโจทก์คืนจากจำเลยนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ แต่หนี้ส่งมอบทรัพย์ดังกล่าวคืนโจทก์ไม่ใช่หนี้เงิน จึงคิดดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องไม่ได้ต้องคิดดอกเบี้ยในราคาทรัพย์นับแต่วันฟ้อง ส่วนสร้อยคอกับสร้อยข้อมือที่ได้มาในวันแต่งงานเป็นทรัพย์ที่โจทก์กับจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกันตั้งแต่ก่อนวันฟ้อง หากมีการใช้ราคา โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในราคาทรัพย์นับแต่วันฟ้องเช่นเดียวกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ จำเลยและญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้จัดพิธีหมั้นกันระหว่างโจทก์จำเลย โดยจำเลยได้ให้สินสอดแก่มารดาของโจทก์ และได้ให้ของหมั้นแก่โจทก์คือสินสอดเป็นเงินสด 80,000 บาททองคำหนัก 12 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 52,800 บาท รวมเป็นเงินสินสอด132,800 บาท และของหมั้นมี 5 รายการคือ แหวนเพชร 1 วง จี้เพชร1 อัน สร้อยข้อมือเพชร 1 เส้น ตุ้มหูเพชร 1 คู่ สร้อยคอทองคำ 1 เส้นรวมราคา 247,700 บาท และในวันที่ 17 มกราคม 2529 โจทก์จำเลยได้เข้าพิธีแต่งงานกัน ต่อมาโจทก์จำเลยไม่สามารถอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้ โจทก์จึงได้มอบเรื่องให้ทนายความมีหนังสือให้จำเลยส่งมอบทรัพย์สินส่วนตัวของโจทก์ ได้แก่ของหมั้นรวม 5 รายการสินสอด กับขอแบ่งแยกเงินสินสมรสรับไหว้ แต่จำเลยไม่ยอมมอบทรัพย์สินต่าง ๆ เช่นของหมั้น เงินสินสอดและส่วนแบ่งเงินสินสมรสแก่โจทก์ ขอบังคับให้จำเลยส่งมอบทรัพย์ของหมั้น 5 รายการ เงินสินสอดกับเงินสินสมรสที่แบ่งแยกได้ให้แก่โจทก์ ถ้าไม่สามารถส่งมอบทรัพย์สินดังกล่าวได้ก็ให้ชดใช้ราคาทรัพย์ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2529 ถึงวันฟ้องเป็นเงินรวม 410,666 บาท ให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 406,666 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยได้หมั้นโจทก์ต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจริง เฉพาะเงินสินสอดและทองคำนั้นเป็นความจริงดังโจทก์ฟ้อง ส่วนของหมั้นมีเพียง 3 รายการ จำเลยยังไม่หย่าขาดจากกัน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกร้องเอาเงินสินสมรสจำนวนนี้จากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกคืนและขอแบ่งได้ส่วนดอกเบี้ยโจทก์ฟ้องเรียกเอาสินส่วนตัวจากจำเลยซึ่งเป็นสามียังมิได้หย่ากัน เป็นเรื่องโจทก์จะขอจัดการสินส่วนตัว มิใช่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ จึงเรียกดอกเบี้ยไม่ได้ พิพากษาให้จำเลยส่งมอบทรัพย์ที่ใช้เป็นสินสอด ถ้าส่งมอบทรัพย์ไม่ได้ให้ใช้เงินแทน
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยส่งมอบทรัพย์ของหมั้น 5 รายการ กับสินสอดและเงินส่วนแบ่งสินสมรส ให้แก่โจทก์หากไม่สามารถส่งมอบสิ่งของได้ให้ใช้ราคาเป็นเงินรวม 410,666 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 406,666 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในการใช้ราคาของหมั้นและทรัพย์อื่น ถ้าหากไม่สามารถคืนทรัพย์ดังกล่าวให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า สินสอดที่เป็นทองรูปพรรณหนัก 12 บาท และของหมั้นรวม 5 รายการ เป็นสินส่วนตัวของโจทก์อยู่แล้ว เมื่อโจทก์ขอคืนแต่จำเลยไม่ยอมคืนโจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ย แต่หนี้ส่งมอบทรัพย์ดังกล่าวคืนโจทก์ไม่ใช่หนี้เงินจึงคิดดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องไม่ได้ ต้องคิดดอกเบี้ยในราคาทรัพย์นับแต่วันฟ้อง ส่วนสร้อยคอกับสร้อยข้อมือที่ได้มาในวันแต่งงานนั้นเป็นทรัพย์ที่โจทก์กับจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกันตั้งแต่ก่อนวันฟ้อง หากมีการใช้ราคา โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในราคาทรัพย์นับแต่วันฟ้องเช่นเดียวกัน ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 นอกจากเงินสินสอด 80,000 บาท และเงินที่ได้ในวันแต่งงาน 20,000 บาท หากจำเลยส่งมอบให้โจทก์ไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงินรวม 306,600 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share