แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยไปให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าป. ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยมาประมาณ13ปีและจำเลยครอบครองต่อเนื่องเรื่อยมาซึ่งไม่เป็นความจริงจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยและด. ได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตลอดมาจนกระทั่งด. ถึงแก่กรรมจำเลยก็ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมารวมเวลากว่า13ปีที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์มรดกของป. ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทที่ดินพิพาทเป็นมรดกหรือไม่ดังนั้นการนำสืบของจำเลยเกี่ยวกับการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทเพื่อแสดงให้เห็นว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของป. จึงเป็นการนำสืบตามประเด็นข้อพิพาทในคำฟ้องและคำให้การหาใช่นำสืบนอกคำให้การไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรและเป็นผู้จัดการมรดกของนายประจิติ อินทรพงษ์สกุล ตามคำสั่งศาล เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน2532 จำเลยซึ่งเป็นสามีของนางดวงแข ฉาบกังวาล พี่สาวต่างมารดาของโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอรังวัดออกโฉนดที่ดินตามหนังสือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 4 หมู่ที่ 2 ตำบลวังกระแจะอำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด เนื้อที่ 14 ไร่เศษ ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายประจิติโดยจำเลยได้ให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่าจำเลยได้รับให้ที่ดินแปลงดังกล่าวจากนายประจิติมาประมาณ 13 ปีและครอบครองตลอดมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าพนักงานที่ดินจึงได้ลงชื่อจำเลยในใบไต่สวนและจะได้ออกโฉนดที่ดินให้เป็นชื่อจำเลย ซึ่งความจริงไม่สามารถรวบรวมทรัพย์มรดกของนายประจิติเพื่อแบ่งให้แก่ทายาทได้ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามทะเบียนในใบไต่สวนและหรือโฉนดที่ดินหน้าสำรวจ 6380 – 6381 (เดิมเป็น ส.ค.1 เลขที่ 4) หมู่ที่ 2ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด เป็นทรัพย์มรดกของนายประจิติ และถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนในใบไต่สวนและหรือโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าว โดยให้ลงชื่อโจทก์ในฐานผู้จัดการมรดกของนายประจิติแทน ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินแปลงดังกล่าวอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางดวงแข ฉาบกังวาล นางดวงแขเป็นทายาทโดยธรรมของนายประจิติ อินทรพงษ์สกุล ซึ่งถึงแก่กรรมไปตั้งแต่วันที่30 พฤษภาคม 2519 นางดวงแข และจำเลยได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตั้งแต่นายประจิติถึงแก่กรรมตลอดมาจนกระทั่งนางดวงแขถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2523 จำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทสืบต่อมาด้วยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 13 ปีแล้ว ทายาทอื่นของนายประจิติจึงเสียสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของนายประจิติ และฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามทะเบียนในใบไต่สวนหน้าสำรวจ6380 – 6381 ซึ่งเดิมเป็น ส.ค.1 เลขที่ 4 ตั้งอยู่หมู่ที่ 2ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด เป็นทรัพย์มรดกของนายประจิติ อินทรพงษ์สกุล ให้ถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนในใบไต่สวนดังกล่าวและให้ใส่ชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายประจิติแทน ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าว
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์พันเอกสุรินทร์ อินทรพงษ์สกุล และนางดวงแข ฉาบกังวาล เป็นบุตรของนายประจิติหรือดวงใจ อินทรพงษ์สกุล จำเลยเป็นสามีนางดวงแข นายประจิติมีชื่อเป็นผู้ครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)เลขที่ 4 หมู่ที่ 2 ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราดเนื้อที่ 14 ไร่เศษ ซึ่งเป็นที่ดินพิพาท ตามสำเนาแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเอกสารหมาย ป.จ.10 ต่อมาปี 2519 นายประจิติถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ใด จำเลยและนางดวงแขเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา ปี 2523 นางดวงแข ถึงแก่กรรมจำเลยก็ยังคงครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา วันที่ 10 กรกฎาคม 2532โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายประจิติตามคำสั่งศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 142/2532 ของศาลชั้นต้น วันที่ 6 มิถุนายน 2532จำเลยยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดตราดเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดตราดนัดทำการรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินโดยจำเลยเป็นผู้นำรังวัดและให้ถ้อยคำว่าจำเลยได้รับให้ที่ดินพิพาทจากนายประจิติประมาณ 13 ปี และครอบครองต่อเนื่องจนบัดนี้ ตามสำเนาใบไต่สวนเอกสารหมาย ป.จ.5 และ ป.จ.6วันที่ 18 กันยายน 2532 โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินพิพาทของจำเลย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายประจิติที่ต้องนำมาแบ่งกันระหว่างทายาทหรือไม่ เห็นว่าคำเบิกความของโจทก์ยืนยันว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายประจิติ โดยไม่ปรากฎว่านายประจิติยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ใด แต่พันเอกสุรินทร์กลับเบิกความว่านายประจิติยกที่ดินพิพาทให้แก่นางดวงแข พันเอกสุรินทร์และโจทก์คนละเท่า ๆ กัน คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองจึงขัดกันในสาระสำคัญและข้อที่พันเอกสุรินทร์เบิกความนั้นก็ขัดกับข้ออ้างในคำฟ้องที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายประจิติมิได้ยกให้จำเลยทั้งโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า นายประจิติป่วยอยู่เป็นเวลานานก่อนจะถึงแก่กรรม ขณะนายประจิติป่วยนายประจิติจะอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทเพียงผู้เดียวหรือไม่โจทก์ไม่ทราบ ขณะนายประจิติป่วยนางดวงแขเป็นผู้ดูแล แต่จำเลยจะร่วมดูแลอยู่ด้วยหรือไม่โจทก์ไม่ทราบ แสดงให้เห็นว่านางดวงแขและจำเลยเป็นผู้ร่วมกันดูแลนายประจิติอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาโดยลำพัง โอกาสที่นายประจิติจะมีความเสน่หายกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยและนางดวงแขย่อมมีอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านต่อไปว่า ในขณะที่นายประจิติยังมีชีวิตอยู่โจทก์เคยไปขอยืมเงินจำนวน 3,000 บาท แต่นายประจิติจะนำเงินจากนางดวงแขมาให้โจทก์หรือไม่โจทก์ไม่ทราบ เมื่อโจทก์ได้รับเงินจำนวน3,000 บาท แล้วโจทก์จะได้บอกนางดวงแขว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทหรือไม่โจทก์ไม่ขอตอบ การที่โจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้วไม่ยอมเบิกความตอบคำถามในสาระสำคัญเช่นนี้ บ่งชี้ให้เห็นว่าโจทก์จำนนต่อหลักฐานที่จำเลยจะหักล้างคำเบิกความของโจทก์ต่อไป หาให้คำเบิกความของโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังและเห็นว่า พยานจำเลยเบิกความเชื่อมโยงกันในเหตุการณ์ที่นายประจิติยกที่ดินพิพาทให้แก่นางดวงแข เริ่มแต่จำเลยและนางดวงแขเป็นผู้เฝ้าดูแลนายประจิติตลอดมาโดยลำพังโดยเฉพาะในเวลาที่นายประจิติเจ็บป่วยเมื่อนายประจิติยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยและนางดวงแขแล้ว จำเลยก็ได้แสดงให้ปรากฎถึงสิทธิของตนในระหว่างนายจิติยังมีชีวิตด้วยการเป็นผู้อนุญาตให้ทางราชการทำถนนตัดผ่านที่ดินพิพาทและยังได้เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาโดยไม่มีผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้อง ครั้นเมื่อมีการสำรวจที่ดินพิพาทเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 2525 ถึง 2528 ตามสำเนาแบบแสดงรายการที่ดินพร้อมสำเนาใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่เอกสารหมาย ล.5 ก็ปรากฎว่ามีชื่อจำเลยผู้เดียวที่เป็นเจ้าของที่ดินและเป็นผู้ชำระภาษีบำรุงท้องที่ตั้งแต่ประจำปี 2525 ถึง 2531 จึงสอดคล้องกับความของพยานจำเลยทั้งนายเชื่อง นางวัน นายโอฬารและนายพิณ ก็เป็นพยานคนกลางรู้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับการที่นายประจิติยกที่ดินพิพาทจากการเป็นเจ้าพนักงานผู้ขออนุญาตทำถนนตัดผ่านที่ดินพิพาทหรือเป็นผู้มีบ้านและที่ดินใกล้เคียงที่ดินพิพาท ย่อมมีโอกาสทราบเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่มาก พยานหลักฐานจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายประจิติได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยและนางดวงพรพร้อมทั้งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยและนางดวงแขก่อนที่นายประจิติจะถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายประจิติที่จะต้องนำมาแบ่งกันระหว่างทายาทแต่อย่างใด ที่โจทก์ฎีกาว่า นางดวงพรเป็นทายาทของนางดวงแขได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของนายประจิติ และคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความก็ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
ที่โจทก์ฎีกาว่า คำเบิกความของจำเลยและพยานจำเลยที่ว่านายประจิติยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยและนางดวงแขเป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การนั้น เห็นว่า คำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยไปให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า นายประจิติยกที่ดินพิพาทให้จำเลยมาประมาณ 13 ปี และจำเลยครอบครองต่อเนื่องมาจนบัดนี้ซึ่งไม่เป็นความจริง จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยและนางดวงแขได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตลอดมาจนกระทั่งนางดวงแขถึงแก่กรรมจำเลยก็ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา รวมเวลากว่า 13 ปี ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายประจิติ ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกหรือไม่ ดังนั้นการนำสืบของจำเลยเกี่ยวกับการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทเพื่อแสดงให้เห็นว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของนายประจิติ จึงเป็นการนำสืบตามประเด็นข้อพิพาทในคำฟ้องและคำให้การ หาใช้นำสืบนอกคำให้การไม่
พิพากษายืน