คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2214/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 หยิบแว่นตาจากกระเป๋าเสื้อผู้เสียหายขณะนั่งอยู่ในร้านขายอาหารไปใส่ส่องกระจกดู แล้วจำเลยทั้งสามเดินออกจากร้านไป ไม่คืนแว่นตา เมื่อผู้เสียหายไปขอคืน จำเลยที่ 1 ไม่คืนให้ กลับให้จำเลยที่ 2 เอาแว่นตาไป ผู้เสียหายขอคืนจากจำเลยที่ 2 ๆ ไม่ให้ จำเลยที่ 3 คว้าเอาไปอีกต่อหนึ่งต่อหน้าผู้เสียหาย แล้วพากันขึ้นรถประจำทางไป ผู้เสียหายตามไปทวงคืนอีก จำเลยที่ 2 ที่ 3 พูดว่า อย่าตามมานะ ถ้าตามจะเจ็บตัว ต่อมาในวันเกิดเหตุนั้นเอง จำเลยที่ 3 เอาแว่นตาไปจำนำ ดังนี้ จำเลยทั้งสามต้องมีความผิดฐานปล้นทรัพย์

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษา โดยเรียกจำเลยสำนวนหลังเป็นจำเลยที่ 3

โจทก์ฟ้องคดีทั้งสองสำนวนมีใจความเป็นอย่างเดียวกันว่าจำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันปล้นเอาแว่นตาของผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 14 และประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 163 และสั่งคืนของกลางแก่ผู้เสียหาย

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคแรก ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 14 ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75, 76 จำคุกจำเลยคนละ 5 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามคงจำคุกจำเลยคนละ 3 ปี 4 เดือน คืนของกลางแก่ผู้เสียหาย

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตอนที่จำเลยที่ 2 หยิบแว่นตาจากกระเป๋าเสื้อของผู้เสียหายไปใส่ส่องกระจกดู ตอนนี้ผู้เสียหายก็น่าจะเข้าใจว่าจำเลยที่ 1 เพียงลองใส่ดูเท่านั้นจึงไม่ได้ว่ากระไรแต่เมื่อจำเลยทั้งสามเดินออกจากร้ายไปโดยจำเลยที่ 1 ไม่คืนแว่นตาผู้เสียหายจึงไปขอคืน จำเลยที่ 1 ไม่คืนให้ จำเลยที่ 1 กลับให้จำเลยที่ 2 เอาแว่นตาไป ผู้เสียหายก็ขอคืนจากจำเลยที่ 2 อีกจำเลยที่ 2 ไม่ให้ จำเลยที่ 3 คว้าเอาไปอีกต่อหนึ่งต่อหน้าผู้เสียหาย แล้วจำเลยทั้งสามก็พากันขึ้นรถประจำทางไป ลักษณะการกระทำของจำเลยเช่นนี้เป็นการจงใจเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม การเอาแว่นตาของผู้เสียหายไปเป็นทอด ๆแสดงว่าเป็นแผนของจำเลยเพื่อป้องกันมิให้ผู้เสียหายแย่งเอาคืนครั้งผู้เสียหายติดตามจำเลยไปไม่ลดละเพื่อทวงคืน จำเลยที่ 2 ที่ 3 พูดว่า อย่าตามมานะ ถ้าตามจะเจ็บตัว เป็นการขู่เข็ญว่าจะทำร้ายผู้เสียหาย และขู่เข็ญในขณะที่ผู้เสียหายติดตามอยู่ตลอดมาไม่ขาดตอน การกระทำของจำเลยส่อเจตนาทุจริตมิใช่เป็นการล้อเล่นฐานคนรู้จักกัน ทั้งในวันเกิดเหตุนั้นเองจำเลยที่ 3 ได้นำเอาแว่นตาของผู้เสียหายไปจำนำ พฤติการณ์ดังกล่าวประกอบกันฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยทั้งสามกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์จริงดังฟ้อง

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share