คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2213/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ประกอบธุรกิจรับอบข้าวโพดที่จะส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศเมื่อลูกค้านำข้าวโพดมาส่งให้โจทก์ โจทก์จะชั่งน้ำหนักและวัดความชื้นไว้แล้วใช้สูตรมาตรฐานคำนวณว่าเมื่อนำข้าวโพดมาแยกวัสดุเจือปนออกและอบให้ได้ความชื้น ร้อยละ 14.5 แล้วจะเหลือน้ำหนักเท่าใด โจทก์ก็จะออกใบรับตามจำนวนน้ำหนักที่คำนวณจากสูตรมาตรฐานนั้นให้ลูกค้าเพื่อนำมารับข้าวโพดคืน ข้าวโพดที่ลูกค้ามารับคืนไม่จำต้องเป็นจำนวนเดียวกันกับที่ลูกค้านำมาอบ ลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบการสูญเสียน้ำหนักเอง ข้าวโพดที่ผ่านการอบแล้วบางส่วนจะมีความชื้นเหลือน้อยกว่าร้อยละ 14.5 ทำให้สูญเสียน้ำหนักไปเกินกว่าที่คำนวณไว้โดยสูตรมาตรฐานดังกล่าว และยังมีการสูญเสียน้ำหนักภายหลังอบแล้วด้วยเหตุอื่นอีก เช่นความชื้นลดลงอีกตามธรรมชาติและการขนถ่ายข้าวโพดลงเรือซึ่งโจทก์ไม่สามารถปัดให้เป็นความรับผิดของลูกค้าได้ โจทก์ต้องส่งมอบข้าวโพดที่อบแล้วตามจำนวนน้ำหนักที่ได้คำนวณด้วยสูตรมาตรฐานให้แก่ลูกค้าแต่ละรายที่ได้ออกใบรับให้ไว้ ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการซื้อข้าวโพดมาชดเชยจำนวนข้าวโพดที่สูญเสียน้ำหนักไปซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดชอบต่อลูกค้า จึงเป็นรายจ่ายที่มีการจ่ายจริงนำมาคำนวณกำไรสุทธิของโจทก์ได้ ส่วนค่าใช้จ่ายเป็นค่าบริการให้แก่เจ้าหน้าที่ศุลกากรเจ้าหน้าที่มาตรฐานสินค้าและเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสินค้าที่มาควบคุมการขนถ่ายสินค้าจากไซโล ลงเรือโจทก์จ่ายไปเพื่อประโยชน์ในทางการค้าของโจทก์ แต่มิได้ระบุว่าจ่ายให้แก่ผู้ใด จึงเป็นรายจ่ายที่โจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ ต้องห้ามมิให้นำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ตาม ป.รัษฎากรมาตรา 65 ตรี (18).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 1 เป็นกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงการคลัง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีอากรจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 โดยเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับท้องที่สรรพากรเขต 2 จังหวัดชลบุรี ได้ออกคำสั่งให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่ม พร้อมกับเสียเงินเพิ่มสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 1 กรกฎาคม 2521 – 30 มิถุนายน 2522เป็นเงิน 1,671,793.56 บาท และรอบระยะเวลาบัญชี 1 กรกฎาคม 2522- 30 มิถุนายน 2523 เป็นเงิน 1,766,882.88 บาท โดยอ้างว่าโจทก์นำรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (3)(9)(18)มาถือเป็นรายจ่ายรายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข2-3 โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินดังกล่าว จึงได้ยื่นอุทธรณ์การประเมิน ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นคณะกรรมการ และคณะกรรมการดังกล่าวได้วินิจฉัยแล้วโจทก์เห็นว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยังไม่ถูกต้อง กล่าวคือ บริษัทโจทก์เป็นโรงงานปรับปรุงคุณภาพข้าวโพดโดยใช้เครื่องจักรในการทำงานสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 1 กรกฎาคม 2521 – 30 มิถุนายน 2522มีข้าวโพดเข้าอบจำนวน 709,927 ตัน และในรอบระยะเวลาบัญชี1 กรกฎาคม 2522 – 30 มิถุนายน 2523 จำนวน 618,683 ตัน ข้าวโพดดังกล่าวขณะนำเข้ามาจะมีความชื้นร้อยละ 14.5 ความชื้นดังกล่าวจะลดลงเรื่อย ๆ และก็จะทำให้น้ำหนักของข้าวโพดลดลงด้วยในอัตราประมาณ 3 กิโลกรัมต่อตัน นอกจากนี้ยังมีการสูญเสียทำให้น้ำหนักข้าวโพดขาดไป โดยการตกหล่อนขณะขนออกจากไซโลไปยังเตาอบและจากเตาอบไปยังไซโลเพื่อรอการส่งออก จำนวนน้ำหนักข้าวโพดที่ขาดหายไปนี้เป็นธรรมดาของกิจการ ซึ่งคำนวณแล้วในปี 2521-2522 ขาดหายไปร้อยละ 0.14 โจทก์ต้องซื้อมาชดเชยประมาณ 1,000 ตัน ราคาตันละ3,000 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 3,000,000 บาท และในปี 2522-2523ขาดหายไปร้อยละ 0.16 โจทก์ต้องซื้อมาชดเชย 1,026 ตัน เป็นเงิน3,080,000 บาท นอกจากค่าใช้จ่ายดังกล่าวแล้วโจทก์ยังมีรายจ่ายในการส่งข้าวโพดไปขายยังต่างประเทศอีกทั้งสองรอบระยะเวลาบัญชีเป็นเงิน 3,471,879 บาท ค่าใช้จ่ายทั้งสองประเภทดังกล่าวข้างต้นโจทก์นำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณหากำไรสุทธิของแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีที่จ่ายไปได้ มิใช่รายจ่ายที่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา65 ตรี (3)(9)(18) แต่อย่างใด การที่เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ยอมให้โจทก์นำมาถือเป็นรายจ่ายนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงต้องนำคดีมาฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษาและมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามคำสั่งที่ 27 47/2/00453 กับคำสั่งที่ 27 47/2/00545 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม2524 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ กค. 08/42/1768ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2528
คดีสำหรับจำเลยที่ 4 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเนื่องจากโจทก์ทิ้งฟ้อง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การว่า ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่า น้ำหนักข้าวโพดขาดไปเนื่องจากในขณะรับข้าวโพดเข้ามาข้าวโพดมีความชื้นและนอกจากนี้ข้าวโพดยังขาดจำนวนเนื่องจากการขนส่งบ้างกลายเป็นฝุ่นหรือบูดเน่านั้น เป็นข้ออ้างที่รับฟังไม่ได้ เพราะก่อนที่โจทก์จะนำข้าวโพดเข้าเก็บนั้นจะต้องผ่านการอบจนแห้งและฉีดยาป้องกันแมลงกัดกินแล้ว ข้าวโพดที่โจทก์รับมานั้นลูกค้าของโจทก์จะเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับน้ำหนักที่ขาดหายไป โจทก์ไม่เคยนำราคาข้าวโพดที่ขาดหายไปตามที่กล่าวอ้างในฟ้องมาตัดเป็นยอดรายจ่ายในแต่ละปีสำหรับรายจ่ายในการส่งข้าวโพดไปขาย โจทก์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นคนรับ รายจ่ายดังกล่าวแม้จะมีอยู่จริงก็ถือเป็นรายจ่ายส่วนตัว หรือเป็นการให้โดยเสน่หา รายจ่ายต่าง ๆ ของโจทก์ตามฟ้องเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(3)(9)(18)เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 จึงไม่ยอมให้ถือเป็นรายจ่ายและได้ทำการปรับปรุงกำไรสุทธิเสียใหม่แล้วแจ้งไปยังโจทก์ให้ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมพร้อมกับเงินเพิ่ม เมื่อโจทก์ไม่พอใจการประเมินและได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และคณะกรรมการดังกล่าวได้วินิจฉัยแล้วแจ้งให้โจทก์ทราบ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า ค่าใช้จ่ายที่โจทก์จ่ายเป็นค่าบริการจำนวน 3,471,879 บาทให้แก่เจ้าหน้าที่ศุลกากร เจ้าหน้าที่มาตรฐานสินค้าและเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสินค้าที่มาควบคุมการขนถ่ายสินค้าจากไซโลลงเรือนั้นจะถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้หรือไม่ เห็นว่า แม้ตามทางนำสืบของโจทก์จะฟังได้ว่า โจทก์ได้จ่ายเงินค่าบริการดังกล่าวไปจริงและเพื่อประโยชน์ในทางการค้าของโจทก์ก็ตาม แต่โจทก์ก็นำสืบยอมรับว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าว โจทก์เพียงแต่ได้ลงบัญชีไว้แต่มิได้ระบุว่าจ่ายให้แก่ผู้ใดค่าใช้จ่ายดังกล่าวจึงเป็นรายจ่ายที่โจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ ต้องห้ามมิให้นำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(18)…
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์อีกข้อหนึ่งมีว่าราคาข้าวโพดที่โจทก์ซื้อมาเพื่อทดแทนข้าวโพดที่ขาดสต๊อกไป จะถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าการที่น้ำหนักข้าวโพดขาดสต๊อกไปเกิดจากการสูญเสียความชื้น การถูกสัตว์แมลงกัดกินและบูดเน่าซึ่งโจทก์ต้องรับผิดชอบต่อลูกค้า ฝ่ายจำเลยแก้ฎีกาว่า น้ำหนักของข้าวโพดที่สูญหายไปดังกล่าวโจทก์ไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเพียงฝ่ายเดียวเพราะโจทก์ได้หักน้ำหนักที่สูญเสียออกก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้าแล้วพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ประกอบธุรกิจรับอบข้าวโพดที่จะส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ซึ่งกองมาตรฐานสินค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนดมาตรฐานไว้ว่า ข้าวโพดที่จะส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศนั้นจะต้องมีความชื้นไม่เกินร้อยละ 14.5 เพราะถ้าหากมีความชื้นเกินกว่านี้ ข้าวโพดจะเกิดเชื้อราต่างประเทศจะไม่รับซื้อ ข้าวโพดที่ลูกค้าของโจทก์นำมาจ้างให้โจทก์ทำการอบนั้นเป็นข้าวโพดจากไร่ซึ่งมีความชื้นสูงเกินกว่าร้อยละ 14.5 และมีเศษวัสดุอื่นเจือปน เมื่อลูกค้านำข้าวโพดดังกล่าวมาส่งมอบให้โจทก์ โจทก์จะชั่งน้ำหนักและวัดความชื้นไว้ แล้วใช้สูตรมาตรฐานคำนวณว่า เมื่อนำข้าวโพดดังกล่าวมาแยกวัสดุเจือปนออกและอบให้ได้ความชื้นร้อยละ 14.5 แล้วจะเหลือน้ำหนักเท่าใด โจทก์ก็จะออกใบรับตามจำนวนน้ำหนักที่คำนวณจากสูตรมาตรฐานดังกล่าวให้ลูกค้าไว้เพื่อนำมารับข้าวโพดคืนวิธีการดังกล่าวผู้ประกอบธุรกิจรับอบข้าวโพดรายอื่น ๆ ก็ใช้เช่นเดียวกัน ข้าวโพดที่ลูกค้าแต่ละรายนำมาให้อบนั้น เมื่ออบเสร็จแล้วจะส่งไปเก็บรวมกันไว้ในไซโล เมื่อลูกค้ารายใดพร้อมที่จะส่งออกยังต่างประเทศแล้วก็จะนำเรือมาขอรับ โจทก์ก็จะปล่อยข้าวโพดจากไซโลลงเรือบรรทุกสินค้าตามจำนวนน้ำหนักในใบรับที่โจทก์ออกให้ไว้แก่ลูกค้ารายนั้น ๆ โดยไม่จำต้องเป็นข้าวโพดจำนวนเดียวกับที่ลูกค้านั้นนำมาให้อบ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่าในขั้นตอนที่ลูกค้านำข้าวโพดมามอบให้โจทก์จนถึงขั้นอบให้ได้ความชื้นร้อยละ14.5 นั้น ได้มีการสูญเสียน้ำหนักไปจำนวนหนึ่งเนื่องจากการแยกเศษวัสดุออกและอบความชื้น ซึ่งน้ำหนักที่สูญหายไปส่วนนี้ โจทก์ได้หักออกด้วยวิธีการคำนวณด้วยสูตรมาตรฐาน และลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบการสูญเสียน้ำหนักเองจริงตามที่จำเลยต่อสู้ ซึ่งโจทก์ยอมรับและไม่โต้เถียงในส่วนนี้ แต่โจทก์นำสืบต่อไปโดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้างฟังได้ว่า หลังจากที่อบแล้ว ตามความเป็นจริงข้าวโพดที่อบแล้วบางส่วนจะมีความชื้นเหลือน้อยกว่าร้อยละ 14.5 เพราะข้าวโพดที่ลูกค้านำมาให้อบนั้นมีความชื้นไม่เท่ากัน โจทก์แบ่งความชื้นไว้สองประเภทคือ ข้าวโพดที่มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 19 ประเภทหนึ่งและข้าวโพดที่มีความชื้นเกินกว่าร้อยละ 19 อีกประเภทหนึ่งโจทก์จะนำข้าวโพดที่อยู่ในประเภทเดียวกันเข้าอบในคราวเดียวกันโดยวิธีนี้ถ้าเอาข้าวโพดที่มีความชื้นร้อยละ 19 กับข้าวโพดที่มีความชื้นร้อยละ 15 เข้าอบพร้อมกัน เมื่ออบเสร็จแล้วข้าวโพดส่วนที่มีความชื้นเดิมร้อยละ 19 จะเหลือความชื้นร้อยละ 14.5 แต่ข้าวโพดส่วนที่มีความชื้นเดิมร้อยละ 15 เมื่ออบพร้อมกันแล้วจะเหลือความชื้นน้อยกว่าร้อยละ 14.5 ทำให้ข้าวโพดส่วนนี้สูญเสียน้ำหนักไปเกินกว่าที่คำนวณไว้ด้วยสูตรมาตรฐานซึ่งคำนวณไว้ที่ความชื้นเพียงร้อยละ14.5 นอกจากนี้ยังมีการสูญเสียน้ำหนักภายหลังอบแล้ว ด้วยเหตุอื่นอีกเช่นในขณะเก็บไว้ที่ไซโล ความชื้นก็จะลดลงอีกตามธรรมชาติซึ่งบางครั้งจะมีความชื้นเหลือเพียงร้อยละ 12-13 ทั้งในช่วงปี 2521ถึงปี 2523 โจทก์ทำการอบข้าวโพดมากกว่าปีอื่น ๆ โดยในช่วงปี 2521ถึง 2522 โจทก์ทำการอบข้าวโพดประมาณ 700,000 ตันเศษ และในช่วงปี 2522 ถึง 2523 ประมาณ 600,000 ตันเศษ ไม่สามารถเก็บในไซโลทั้งหมดต้องถ่ายใส่กระสอบมาเก็บไว้ในโกดัง ทำให้ข้าวโพดแห้งมากกว่าปกติ ต้องสูญเสียน้ำหนักไปมากกว่าที่เก็บไว้ในไซโล และในระหว่างขนถ่ายข้าวโพดลงเรือด้วยสายพานก็มีการสูญเสียจากการที่ข้าวโพดตกหล่นค้างอยู่ในสายพานบ้าง ค้างอยู่ในท่อรองรับสายพานบ้าง ถูกบดแตกเสียหายบ้าง ดังปรากฏตามรายงานการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้น ซึ่งการสูญเสียน้ำหนักภายหลังอบแล้วด้วยสาเหตุต่าง ๆ ดังกล่าวมานั้น เห็นได้ว่า โจทก์ไม่สามารถจะปัดให้เป็นความรับผิดของลูกค้าได้ เนื่องจากการรับอบข้าวโพดของโจทก์นั้นเมื่ออบข้าวโพดของลูกค้าแต่ละรายเสร็จแล้วจะส่งไปเก็บรวมกันไว้ในไซโลโดยแยกไม่ได้ว่าข้าวโพดส่วนไหนเป็นของลูกค้ารายใดจึงไม่อาจจะทราบน้ำหนักสุทธิที่แท้จริงของข้าวโพดที่ลูกค้าแต่ละรายนำมาให้อบได้ โจทก์จำต้องส่งมอบข้าวโพดที่อบแล้วตามจำนวนน้ำหนักที่ได้คำนวณด้วยสูตรมาตรฐานให้แก่ลูกค้าแต่ละรายที่ได้ออกใบรับให้ไว้ ซึ่งในการคำนวณตามสูตรมาตรฐานนั้น คำนวณไว้ที่ความชื้นร้อยละ 14.5 เท่านั้น ซึ่งเมื่อโจทก์ส่งมอบข้าวโพดให้แก่ลูกค้าแต่ละรายไปเช่นนี้ ในที่สุดจำนวนข้าวโพดที่มีอยู่จริงจะเหลือน้อยกว่าที่ได้คำนวณด้วยสูตรมาตรฐาน จึงมีเหตุผลให้เชื่อว่าโจทก์ต้องซื้อข้าวโพดมาชดเชยส่วนที่ขาดไปให้แก่ลูกค้าจริง ส่วนจำนวนข้าวโพดที่ขาดไปนั้น ปรากฏว่าในช่วงปี 2521 ถึง 2522โจทก์รับอบข้าวโพดทั้งหมด 709,927 ตัน สูญเสียน้ำหนักภายหลังอบแล้ว 1,000 ตัน คิดเป็นร้อยละประมาณ 0.14 และในช่วงปี2522 ถึง 2523 โจทก์รับอบข้าวโพดทั้งหมด 618,683 ตัน สูญเสียน้ำหนักภายหลังอบแล้ว 1,026 ตัน คิดเป็นร้อยละประมาณ 0.16ซึ่งนับว่าเป็นอัตราสูญเสียเล็กน้อย และเรื่องเกี่ยวกับการสูญเสียของน้ำหนักข้าวโพดนั้น โจทก์มีนางดารา พวงสุวรรณ นักวิชาการโรคพืช 8 กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียในคดีมาเบิกความรับรองตามหลักวิชาว่า การสูญเสียน้ำหนักของเมล็ดข้าวโพดในช่วงเก็บสต๊อกไว้ในโกดังจะขาดน้ำหนักได้ร้อยละ 1-3 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของธุรกิจนี้ นอกจากนี้ยังปรากฏตามสำเนาหนังสือของจำเลยที่ 1ที่ กค. 0810/15863 ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2534 ที่มีถึงนายกสมาคมพ่อค้าข้าวโพดและพืชพันธุ์ไทย ซึ่งโจทก์นำส่งต่อศาลตามคำร้องของโจทก์ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2534 ว่า จำเลยที่ 1 ได้วางแนวทางการพิจารณาเรื่องอัตราสูญเสียน้ำหนักข้าวโพดให้เจ้าหน้าที่ถือเป็นแนวปฏิบัติ ในกรณีที่ผู้เสียภาษีไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้าวโพดมีน้ำหนักลดลงเท่าใด อนุโลมให้ข้าวโพดที่มีความชื้นไม่เกินร้อยละ14.5 มีอัตราสูญเสียได้ร้อยละ 1.2 เฉลี่ยทั้งปี ทั้งนี้ให้พิจารณาตามระยะเวลาระหว่างที่ซื้อมาและขายไป จากคำเบิกความของนางดาราและหนังสือของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวฟังได้ว่าข้าวโพดที่อบให้ได้ความชื้นร้อยละ 14.5 แล้ว ถ้าเก็บไว้จะมีการสูญเสียน้ำหนักไปจริง และอัตราความสูญเสียน้ำหนักของโจทก์ร้อยละประมาณ0.14 และ 0.16 ก็เป็นอัตราสูญเสียที่เป็นไปได้ และเป็นจำนวนตามสมควร ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์ได้ซื้อข้าวโพดในรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2521 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2522จำนวน 1,000 ตัน คิดเป็นเงิน 3,000,000 บาท และในรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2522 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2523จำนวน 1,026 ตัน คิดเป็นเงิน 3,080,000 บาท เพื่อนำมาชดเชยจำนวนข้าวโพดที่สูญเสียน้ำหนักไปซึ่งโจทก์ต้องรับผิดชอบต่อลูกค้าค่าใช้จ่ายในการซื้อข้าวโพดทั้งสองคราวดังกล่าวจึงเป็นรายจ่ายที่มีการจ่ายจริง ที่เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มิให้โจทก์นำรายจ่ายดังกล่าวมาคำนวณกำไรสุทธิ โดยอ้างว่าเป็นรายจ่ายที่โจทก์กำหนดขึ้นเองโดยมิได้มีการจ่ายจริงนั้นจึงไม่ชอบ…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แก้ไขการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของเจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โดยให้ถือค่าข้าวโพดขาดสต๊อกจำนวน 3,000,000 บาท และ 3,080,000 บาทเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของโจทก์สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2521 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2522 และสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2522 ถึงวันที่30 มิถุนายน 2523 ตามลำดับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share