แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเรา แต่ไม่กล้าเล่าให้บิดาฟังเพราะกลัวบิดาจะฆ่า เมื่อบิดาทราบความจริงมาสอบถามผู้เสียหายก็ยังไม่บอกแต่กลับหนีไปอยู่จังหวัดอื่น จนบิดาไปตามให้กลับมาแจ้งความ เช่นนี้การแจ้งความหลังเกิดเหตุแล้วหลายวันของผู้เสียหายจึงมิใช่พิรุธถึงกับทำให้คดีโจทก์รับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 82 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 3
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา276 วรรคสอง ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 คงให้จำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าในคืนเกิดเหตุ ผู้เสียหายและจำเลยกับพวกได้ไปเที่ยวแก่งเลิงจานที่เกิดเหตุกัน และจำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายจริง คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้ร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางสาววิภาวรรณ ทองกันยา ผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าขณะที่เดินจะกลับบ้านนั้น จำเลยขี่รถจักรยานยนต์ไปส่งนางสาวอุไร อินทะชัยหรือวินทะชัย และนางสาวทองใบ อินทจักร์กลับบ้านไปก่อน ส่วนผู้เสียหายจำเลยบอกว่าจะกลับมารับ เพราะรถนั่งสี่คนไม่ได้ผู้เสียหายจึงเดินมากับพวกของจำเลย 3 คน ขณะที่เดินมา นายช้างพวกของจำเลยคนหนึ่งกอดและจูบผู้เสียหาย พอเดินมาได้ 20 เมตร พอดีจำเลยก็ขี่รถจักรยานยนต์กลับมา ทันใดนั้น นายช้างจับแขนทั้งสองข้างของผู้เสียหาย นายอ้วนพวกของจำเลยอีกคนหนึ่งเข้ามากอดเอวแล้วลากผู้เสียหายไปริมถนนข้างคันนา นายหน่องกับจำเลยวิ่งตามมา นายช้างกับนายหน่องลากผู้เสียหายไปได้ประมาณ 15 เมตร นายช้างจับผู้เสียหายกดให้นอนลงกับพื้นดินนายหน่องจับขาทั้งสองข้างของผู้เสียหาย นายอ้วนเข้ามาถอดกางเกงของผู้เสียหายออก จากนั้นนายอ้วนและจำเลยต่างก็ถอดกางเกงของตนออก นายอ้วนขึ้นคร่อมและขู่จะฆ่าผู้เสียหายถ้าไม่ยอมให้ชำเรา ผู้เสียหายดิ้นไม่ได้ เพราะถูกจับแขนขาไว้นายอ้วนได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง แล้วลุกไป จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อนานประมาณ 3นาที ก็มีแสงไฟจากรถจักรยานยนต์ของนายเป็ดซึ่งนางสาวอุไรและนางสาวทองใบนั่งซ้อนท้ายมาตามหาผู้เสียหาย นายช้างกับนายหน่องจึงปล่อยผู้เสียหาย ผู้เสียหายกับจำเลยจึงลุกขึ้นนุ่งกางเกงแล้วผู้เสียหายวิ่งลัดทุ่งนาหนีกลับบ้าน นางสาวอุไรและนางสาวทองใบเบิกความว่านั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายเป็ดไปเห็นชาย 3 คนวิ่งจากทุ่งนาขึ้นมาบนถนน และเห็นจำเลยยืนอยู่ตรงที่คนทั้งสามวิ่งออกมา เห็นจำเลยปัดโคลนที่เปื้อนตัวออก จึงถามหาผู้เสียหาย จำเลยบอกว่ากลับบ้านแล้ว นางสาวอุไรและนางสาวทองใบจึงกลับไปบ้าน ต่อมาก็เห็นผู้เสียหายวิ่งร้องไห้เข้ามา เสื้อผ้าใบหน้าและผมเปื้อนโคลน จึงถามผู้เสียหาย ผู้เสียหายบอกว่าถูกจำเลยกับพวกข่มขืนกระทำชำเรา และขอร้องไม่ให้บอกกับบิดาเพราะผู้เสียหายกลัวบิดาจะฆ่า พยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยจึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย พยานหลักฐานของโจทก์ที่ได้ความดังกล่าวฟังได้ชัดว่า จำเลยร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงดังโจทก์ฟ้อง
ที่จำเลยอ้างว่าผู้เสียหายกับจำเลยรักใคร่กันอย่างชู้สาวเคยร่วมประเวณีกันหลายครั้ง และในครั้งเกิดเหตุผู้เสียหายสมัครใจให้จำเลยร่วมประเวณีนั้นไม่น่าเชื่อเพราะหากเป็นความจริงผู้เสียหายคงไม่กล่าวหาว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายและคงไม่แจ้งความดำเนินคดีต่อจำเลย ทั้งในข้อนี้ผู้เสียหายก็ให้การปฏิเสธว่า ไม่เคยรักใคร่กับจำเลยในทางชู้สาว และการที่ผู้เสียหายไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้บิดาฟังนั้น ผู้เสียหายก็เบิกความว่ากลัวบิดาจะฆ่า การที่เล่าเรื่องให้นางสาวอุไรและนางสาวทองใบฟังเพราะเป็นเพื่อนสนิทและเป็นญาติกันด้วย ไปเที่ยวด้วยกันเสมอ ในวันเกิดเหตุก็ไปด้วยกันแต่จำเลยขี่รถจักรยานยนต์มาส่งบ้านก่อน ครั้นรอผู้เสียหายอยู่นานผิดสังเกตจึงกลับไปตามผู้เสียหายในที่เกิดเหตุ ต่อมาบิดาผู้เสียหายถามผู้เสียหายอีกผู้เสียหายก็ไม่ยอมเล่าให้ฟัง จนบิดาทราบความจริง จึงสอบถามผู้เสียหายผู้เสียหายก็ไม่ยอมรับ ในตอนเย็นวันนั้นผู้เสียหายจึงหนีออกจากบ้านไปอยู่จังหวัดชลบุรีกับญาติของเพื่อน แสดงว่าผู้เสียหายกลัวบิดาของตนและอับอายคนอื่นที่รู้เรื่อง จนกระทั่งบิดาของผู้เสียหายไปติดตามกลับบ้านและพาไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีต่อจำเลย ดังนั้นการที่ผู้เสียหายไปแจ้งความหลังเกิดเหตุแล้วหลายวัน จึงมิใช่เป็นข้อพิรุธถึงกับทำให้คดีโจทก์รับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.