แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ขับรถมาตามถนนพหลโยธินจากสามแยกเกษตร มุ่งหน้าไปทางลาดพร้าว เมื่อถึงสี่แยกพหลโยธินตัดกับถนนรัชดาภิเษกสัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง จำเลยที่ 2 ได้ขับรถเคลื่อนอย่างช้า ๆฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรสีแดงเข้าไปในสี่แยกจนเลยเส้นสีขาวที่กำหนดให้รถหยุดประมาณ 10 เมตรเกือบถึงกลางสี่แยก รถจำเลยที่ 2 จึงขวางทางรถจำเลยที่ 1 ซึ่งแล่นมาด้วยความเร็วจากถนนรัชดาภิเษกด้านถนนวิภาวดีรังสิตมุ่งหน้าไปตามถนนรัชดาภิเษกเข้าไปในสี่แยกรถจำเลยที่ 1 ห้ามล้อและหักกลบเฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 2 แล้วเสียหลักไปทางขวาไปชนรถที่จอดรอสัญญาณไฟจราจรในถนนรัชดาภิเษกด้านที่มาจากลาดพร้าวและชนผู้เสียหาย พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถด้วยความประมาทเป็นเหตุโดยตรงทำให้รถจำเลยที่ 1 เฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 2 และชนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายและได้รับอันตรายสาหัส จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสและได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300,390 และมีความผิดตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 21,22,43,152,157
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300,390, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 21,22, 43, 55, 70, 78, 148, 152, 157, 160 จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณานายปิยะภัณฑ์ หรือปิยะพันธ์ จินดาลัทธผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 21, 22,43, 70, 148 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทหนักให้จำคุกคนละ 4 เดือน ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ในข้อหาหลบหนีไม่หยุดช่วยเหลือและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีให้ยก จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 21, 22, 43, 152, 157 ซึ่งเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ประกอบมาตรา 157ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ปรับจำเลยที่ 2 หนึ่งพันบาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีนายบรรลือศักดิ์ทองลอย ผู้ขับขี่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1 ง-2526กรุงเทพมหานคร ซึ่งจอดรอสัญญาณจราจรไฟสีแดงอยู่ที่สี่แยกที่เกิดเหตุบนถนนรัชดาภิเษก ด้านที่มาจากลาดพร้าว กับนายสืบพงษ์ กลิ่นสุคนธ์ และนางสาวกฤษดา แก่นสาร์ ซึ่งโดยสารมากับรถยนต์คันที่จำเลยที่ 2 ขับเป็นพยานเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์โดยสารเคลื่อนไปช้า ๆ ฝ่าสัญญาณจราจรไฟสีแดงเข้าไปในสี่แยกที่เกิดเหตุเลยเส้นขาวที่ให้รถหยุดประมาณ 10เมตร เกือบถึงกลางสี่แยก สัญญาณไฟจราจรด้านของจำเลยที่ 2 ถึงได้เปลี่ยนเป็นสีเขียว รถจำเลยที่ 2 เข้าไปขวางทางรถ จำเลยที่ 1ซึ่งแล่นเข้ามาในสี่แยกจากถนนรัชดาภิเษกด้านถนนวิภาวดีรังสิตมุ่งไปทางลาดพร้าวซึ่งขับมาด้วยความเร็ว รถจำเลยที่ 1 ห้ามล้อและหักหลบรถจำเลยที่ 2 ไปทางขวาเสียหลักไปชนรถที่จอดรอสัญญาณไฟจราจรในถนนรัชดาภิเษกด้านมาจากลาดพร้าว เห็นว่าพยานโจทก์ 3 ปากนี้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะใกล้ และเบิกความยืนยันสอดคล้องต้องกันสมเหตุสมผล ไม่มีข้อใดที่เป็นพิรุธ คำเบิกความจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือและยังได้ความจากคำเบิกความของนายสืบพงษ์ กลิ่นสุคนธ์ กับพยานโจทก์อีก 2 ปาก คือนายทองใบ ตรีกุล กับนายพัฒนา หงสากล ซึ่งยืนอยู่บนถนนบริเวณที่เกิดเหตุว่า รถจำเลยที่ 1 ได้หักหลบรถจำเลยที่ 2 แต่ไม่พ้น ด้านข้างรถจำเลยที่ 1 ได้เฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 2ทางส่วนหน้าและจำเลยที่ 1 เบิกความว่า ได้หักหลบรถจำเลยที่ 2 มีเสียงดังทางด้านซ้ายของรถ จำเลยที่ 1 เข้าใจว่ารถเฉี่ยวชนกับรถจำเลยที่ 2 และเมื่อลงจากรถแล้วเห็นรถจำเลยที่ 2 เสียหายจากการเฉี่ยวชนกับรถจำเลยที่ 1 ที่กันชนหน้าขวา กับตัวถังรถด้านขวาตรงส่วนใต้กระจกมองข้างมีรอยสีถลอกและจำเลยที่ 1ได้ให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.14 ซึ่งให้การภายหลังเกิดเหตุแต่ในวันเดียวกับวันเกิดเหตุนั้นเองว่า รถจำเลยที่ 1ด้านซ้ายค่อนมาด้านหน้ารถได้เฉี่ยวถูกบริเวณหน้ารถจำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 ให้การในชั้นสอบสวนหลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อย ยังไม่มีเวลาที่จะคิดปรุงแต่งเรื่องขึ้น คำให้การในชั้นสอบสวนในข้อนี้จึงน่าเชื่อว่าได้ให้การไปตามความจริงและในชั้นศาลจำเลยที่ 1ได้เบิกความยืนยันในข้อนี้อีก จึงเป็นการเจือสมกับคำพยานโจทก์ดังกล่าว นอกจากนี้โจทก์ยังมีร้อยตำรวจโทประจวบ ควรขจรผู้ตรวจพิสูจน์รถจำเลยที่ 2 ที่พนักงานสอบสวนส่งไปให้ตรวจในวันที่ 26 กันยายน 2527 เป็นพยานว่า ได้ตรวจพบรถจำเลยที่ 2มีการเปลี่ยนกันชนหน้าใหม่ และพ่นสีใหม่บริเวณตัวถังด้านหน้าได้ทำรายงานการตรวจพิสูจน์ไว้ตามเอกสารหมาย จ.11 และยังปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.15 ว่ารุ่งขึ้นเช้าจากวันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ไปทำงานที่เขต จะขับรถตามปกติ แต่ได้รับแจ้งว่าได้ส่งรถคันที่จำเลยที่ 2 ขับเข้าซ่อมแซมแล้ว โดยจำเลยที่ 2 ได้ทราบจากคำบอกเล่าว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ประมาณ 10 วัน มีพนักงานขับรถคันอื่นมาขับรถคันเกิดเหตุแทนจำเลยที่ 2 ได้ขับไปเฉี่ยวชนกับรถอื่น โดยมีรอยเฉี่ยวชนที่ด้านหน้ารถค่อนไปทางซ้าย แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่ารอยซ่อมแซมรถจำเลยที่ 2 ที่ร้อยตำรวจโทประจวบตรวจพบดังปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.16ภาพที่ 4 อยู่ที่มุมหน้ารถด้านขวาจึงเป็นคนละแห่งกัน และตามผลการตรวจพิสูจน์ของร้อยตำรวจโทประจวบก็ไม่พบรอยซ่อมแซมรถจำเลยที่ 2 ที่ด้านหน้าค่อนไปทางซ้ายแต่อย่างใด ฉะนั้นการซ่อมแซมรถจำเลยที่ 2 ในวันรุ่งขึ้น จากวันเกิดเหตุจึงไม่ใช่ซ่อมแซมรอยเฉี่ยวชนที่พนักงานขับรถคนอื่นขับไปเฉี่ยวชนก่อนวันเกิดเหตุประมาณ 10 วัน ดังที่จำเลยที่ 2 ให้การไว้ในชั้นสอบสวน แต่เป็นการซ่อมแซมพ่นสีใหม่ตรงมุมหน้ารถด้านขวาและเปลี่ยนกันชนหน้าใหม่เนื่องจากถูกรถจำเลยที่ 1 เฉี่ยวชนเอาดังคำเบิกความของพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 นำสืบรับว่า ได้ขับรถล้ำเข้าไปจอดเลยทางม้าลายเข้าไปในสี่แยกประมาณ 1 เมตร ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรสีแดงที่ห้ามไม่ให้ขับรถออกไปจากเส้นให้รถหยุด และตามที่จำเลยที่ 2 นำสืบอีกว่า สัญญาณไฟจราจรด้านจำเลยที่ 2 ได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว จำเลยที่ 2 ถึงได้ขับรถเข้าไปในสี่แยกได้ประมาณ 5 เมตร ก็มีรถจำเลยที่ 1 แล่นเข้ามาในสี่แยกจากถนนรัชดาภิเษก จำเลยที่ 2 จึงห้ามล้อรถให้หยุด นั้นเห็นว่า หากเป็นดังที่จำเลยที่ 2 นำสืบแล้วรถจำเลยที่ 1 ซึ่งแล่นเข้ามาในสี่แยกด้วยความเร็ว รถจำเลยที่ 2 เพียงขับเข้าสี่แยกช้า ๆ ได้ประมาณ 5 เมตรเท่านั้น ซึ่งยังไม่ถึงช่องทางที่จะขวางทางรถจำเลยที่ 1 รถจำเลยที่ 1 จะต้องแล่นผ่านหน้ารถจำเลยที่ 2ไปได้โดยสะดวก ไม่จำเป็นต้องหักหลบรถจำเลยที่ 2 จนเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนหน้ารถจำเลยที่ 2 แล้วเสียหลักพุ่งไปชนผู้เสียหายกับรถผู้เสียหายจนเกิดเหตุเป็นคดีนี้ขึ้น และนายสุรินทร์ เฉลยโภชน์พยานจำเลยที่ 2 เบิกความว่า ได้ร้องบอกจำเลยที่ 2 ว่า รถสองแถวมา จำเลยที่ 2 จึงหยุดรถ รถสองแถวหักหลบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารถจำเลยที่ 2 ได้ขับเข้าไปในสี่แยกขวางทางรถจำเลยที่ 1 แล้ว รถจำเลยที่ 1 ถึงต้องหักหลบเป็นการเจือสมคำพยานโจทก์อีก การที่จำเลยที่ 2 ขับรถเข้าไปในสี่แยกขวางทางรถจำเลยที่ 1 ในขณะที่สัญญาณไฟจราจรในเส้นทางรถจำเลยที่ 2 ยังเป็นไฟสีแดงอยู่ และไปขวางทางรถจำเลยที่ 1 จนเกิดเหตุคดีนี้ขึ้น จำเลยที่ 2 จึงมีความประมาทในการขับรถยนต์ และด้วยความประมาทของจำเลยที่ 2เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้รถจำเลยที่ 1 มาเฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 2แล้วเสียหลักพุ่งเข้าชนผู้เสียหายกับรถของผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายดังมีรายนามตามฟ้องได้รับอันตรายแก่กายและได้รับอันตรายสาหัส จำเลยที่ 2 จึงต้องมีความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและได้รับอันตรายสาหัสตามที่โจทก์ฟ้อง พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ไม่ได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300, 390 ด้วย การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 4 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์