คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2211/2526

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 ขอให้ชำระหนี้ตามเช็ค โดยแนบภาพถ่ายเช็คมาท้ายฟ้อง และศาลได้พิพากษาตามยอมนั้น โจทก์มิได้เป็นคู่ความร่วมกับจำเลยที่ 2 ทั้งจำเลยที่ 1 มิได้นำหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมไปบังคับคดียึดทรัพย์สินของโจทก์ อันจะทำให้ โจทก์ได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยทั้งสองนำเอาภาพถ่ายเช็คมาฟ้องโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายจากการกระทำของจำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าว
เพียงแต่แนบภาพถ่ายเช็คมาท้ายฟ้อง จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นหนี้ ตามฟ้องจริง ศาลได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและพิพากษาคดีไป ตามยอม โดยจำเลยที่ 1 มิได้นำเช็คซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมเช็คเป็นเอกสารเท็จมาอ้างและนำสืบในการพิจารณาคดีแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสอง จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1, ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 จำคุกคนละ 1 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังว่าเช็คตามฟ้องมีมูลหนี้ ไม่เป็นหลักฐานเท็จ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามทางนำสืบของโจทก์ จำเลยว่าโจทก์เคยเป็นภริยาของจำเลยที่ 2 แล้วจดทะเบียนหย่าขาดจากกันเมื่อ พ.ศ. 2517 ตามเอกสารหมาย ล.2 ต่อมาเมื่อวันที่ 28 เมษายน2518 จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลแพ่งขอให้บังคับให้จำเลยที่ 2ชำระหนี้ตามเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาบางแค เลขที่ ดี/23 304882จำนวนเงิน 100,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งจ่ายโดยมิได้ลงวันที่ในเช็คเพื่อแลกเอาเงินสดไปจากจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้แนบภาพถ่ายเช็คฉบับดังกล่าวมาท้ายฟ้องด้วย โดยจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 รวมมากับหนี้เงินกู้และหนี้ตามเช็คฉบับอื่นอีก 2 ฉบับ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4141/2518แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลแพ่งได้พิพากษาตามยอมเสร็จสิ้นไปแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 นำหนี้ตามยอมดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่ 2 กับโจทก์ ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตามข้อตกลงในการจดทะเบียนหย่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6716/2521 ของศาลแพ่ง และจำเลยที่ 1ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีล้มละลาย จนศาลแพ่งได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาดตามคดีล้มละลายของศาลแพ่ง หมายเลขแดงที่ ล.44/2520และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งให้อายัดที่ดินจำนวน 20 โฉนดของโจทก์ไว้จริง ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำผิดฐานแสดงพยานหลักฐานเท็จหรือไม่ และโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาที่ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องหรือไม่ ตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 เสียก่อน ในปัญหาดังกล่าวนี้ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ที่แก้ไขแล้วข้อ 1 และข้อ 2 ว่าเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2515 จำเลยที่ 1ที่ 2 ได้ร่วมกันปลอมเช็คตามเอกสารหมาย จ.5 แล้วต่อมาวันที่ 28 เมษายน2518 จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลแพ่งตามคดีหมายเลขแดงที่ 4141/2518 ขอให้บังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามเช็คเอกสารหมาย จ.5นั้น โดยจำเลยได้ร่วมกันแนบภาพถ่ายเช็คเอกสารหมาย จ.5 มาท้ายฟ้องอันเป็นการอ้างหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จในการพิจารณาคดีของศาลแพ่งและเป็นข้อสำคัญในคดี ศาลแพ่งเชื่อถือในหลักฐานเช็คดังกล่าว จึงได้พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกันทำขึ้น จะเห็นได้ว่าตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4141/2518 ของศาลแพ่งดังกล่าวนั้น จำเลยที่ 1 มิได้ฟ้องโจทก์เป็นคู่ความร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วยทั้งจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นโจทก์ในคดีแพ่งเรื่องนี้ก็มิได้นำหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวไปบังคับคดียึดทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดของโจทก์อันจะทำให้เห็นว่าโจทก์เป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง จากการที่จำเลยทั้งสองนำเอาภาพถ่ายเช็คมาฟ้องร้องกันเป็นคดีนี้จนศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้วแต่อย่างใดเลย โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายจากการกระทำของจำเลยทั้งสองในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4141/2518 ของศาลแพ่ง นอกจากนี้จากคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้วและปรากฏจากสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4141/2518 ของศาลแพ่ง ซึ่งโจทก์ขอให้ศาลแพ่งเรียกมาประกอบการพิจารณาว่า ในการที่จำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ชำระหนี้ตามเช็คเอกสารหมาย จ.5 ดังกล่าวนี้ จำเลยที่ 1 เพียงแต่แนบภาพถ่ายเช็คฉบับนี้มาท้ายฟ้องและจำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การว่าเป็นหนี้จำเลยที่ 1 ตามฟ้องจริง ขอให้ศาลทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ ซึ่งเมื่อถึงวันนัดพร้อม คู่ความได้แถลงขอให้ศาลทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลก็ได้จัดทำให้และพิพากษาคดีไปตามยอมนั้น คดีเสร็จเด็ดขาดเพียงเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้นำเช็คเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นเอกสารเท็จมาอ้างและนำสืบในการพิจารณาคดีของศาลแพ่งในคดีดังกล่าวแต่อย่างใดด้วยการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จในการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180ที่โจทก์ฟ้อง ส่วนที่ฟ้องโจทก์อ้างถึงการที่จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 กับโจทก์เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6716/2521 ของศาลแพ่งขอให้เพิกถอนการโอนทรัพย์สินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีล้มละลาย อันเป็นผลทำให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อายัดทรัพย์สินต่าง ๆของโจทก์นั้น โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องข้อ 1 เพียงว่าจำเลยที่ 1 ได้อ้างเอาหนี้จำนวน 100,000 บาท อันเกิดจากการปลอมเช็คและตามยอมดังกล่าวข้างต้นมาเป็นมูลฟ้องโจทก์และจำเลยที่ 2 เท่านั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอะไรเป็นเท็จในคดีหลังทั้ง 2 เรื่องนี้ด้วยแต่อย่างใด คดีไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าเช็คเอกสารหมาย จ.5 เป็นเอกสารเท็จที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกันกระทำขึ้นหรือไม่ต่อไป ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลแห่งคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share