คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 221/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายในการละเมิดตกลงรับค่าเสียหายจากผู้ละเมิดไว้ในคดีอาญาและศาลจดรายงานพิจารณาว่าผู้เสียหายตกลงจะไม่ว่ากล่าวเอาโทษผู้ละเมิด ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาอีกต่อไป เช่นนี้ถือว่าเป็นการประนีประนอมยอมความ ผู้เสียหายจะมาฟ้องเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งอีกไม่ได้.

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเดิมโจทก์เป็นโจทก์ร่วมกับอัยการในคดีอาญาที่มีข้อหาว่าจำเลยที่ ๑ ทำร้ายโจทก์ จำเลยที่ ๑ ยอมใช้ค่าเสียหาย ๑,๒๐๐ บาท บัดนี้โจทก์มีความประสงค์จะขอค่าเสียหายเนื่องจากการทำร้ายของจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๔,๒๐๐ บาท เพราะค่าเสียหายที่ได้รับไว้ไม่คุ้ม โจทก์ยอมหักเงินให้ ๑,๒๐๐ บาท ที่ได้รับไว้แล้วจากจำเลยที่ ๑ คงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๓,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ เป็นบุตรจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดร่วมด้วย
จำเลยต่อสู้ซึ่งเป็นประเด็นสู่ศาลฎีกาว่าโจทก์พอใจยอมรับค่าเสียหายและรักษาพยาบาลจากจำเลยที่ ๑ แล้วคดีย่อมระงับไป แล้วจำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตาม ป.วิ.แพ่ง ม.๒๔
ศาลชั้นต้นเห็นว่าหลักฐานในคดีอาญาไม่ใช่สัญญาประนีประนอมเรื่องค่าเสียหายในทางแพ่ง ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดได้ครั้งเดียว จะมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนอีกไม่ได้ พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าในคดีอาญาโจทก์ยอมรับค่าเสียหายไปแล้วถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว การเรียกร้องค่าเสียหายของโจทก์เป็นอันระงับไปพิพากษา+น.

Share