แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยลักทรัพย์ไปเป็นจำนวนมากและแจ้งรายละเอียดถึงชนิดน้ำหนักกับราคาทรัพย์ที่หายโดยชัดเจนดังนี้ ไม่เรียกว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมทำให้จำเลยเสียเปรียบ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี ตามกฎหมายอาญา ม.295 จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงมิได้
ย่อยาว
คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่าจำเลยมีผิดตามกฎหมายอาญา ม.๒๙๕ ให้จำคุก ร.ช. และ ซ.จำเลย ๔ ปี ด. ๕ ปี ช. และ บ.ให้ปล่อยตัวไป
ร.และ ซ.จำเลยฎีกาว่าตามหลักฐานในสำนวนการกระทำของจำเลยเข้าบท ม.๓๒๑ ศาลจึงควรต้องยกฟ้อง ส่วน ช. และ ด. จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ระบุรูปพรรณ์ของหายชนิดใดเท่าใด
ศาลฎีกาตัดสินว่าตามฎีกาของ ร. และ ช. นั้น เมื่อศาลล่างทั้ง ๒ ฟังต้องกันมาว่าเป็นการลักทรัพย์ ที่จำเลยเถียงว่าเป็นเรื่องรับของโจรจึงเป็นการเถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลฎีกาต้องถือตามศาลอุทธรณ์ตาม ม.๒๒๒ แห่งประมวลวิธีพิจารณาอาญา ฎีกาข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น สำหรับฎีกาของ ซ.และ ด. นั้น เห็นว่าโจทก์ได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยได้ลักทรัพย์ของเจ้าทรัพย์ไปเป็นจำนวนมากมีสายสร้อย แหวนปิ่น ล็อกเก็ต ต่างหู ซึ่งทำด้วยทองคำ และเข็มขัด กำไล สายกุญแจ ปิ่น กระดุมเสื้อซึ่งทำด้วยนาก เป็นเครื่องรูปพรรณทองคำหนัก ๓๗๖๓ บาท ๓ สลึง ราคา ๑๓๗,๒๒๗ บาท ๔๒ สตางค์ เครื่องรูปพรรณซึ่งทำด้วยนาก ๑๓๙ บาท ราคา ๒๔๘๒ บาท ๔๕ สตางค์กับธนบัตร์อีก ๘๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๑๔๐,๕๐๙ บาท ๘๗ สตางค์ เมื่อโจทก์ฟ้องกล่าวถึงชนิดน้ำหนักกับราคาทรัพย์ที่หายดังกล่าวแล้วเห็นว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องพอให้จำเลยเข้าใจได้ดี ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบจึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย