แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เพียงแต่ฟ้องคดีและขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินส่วนที่พิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางภารจำยอมโดยมิได้บรรยายหรือประสงค์ที่จะขอให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นด้วยประเด็นแห่งคดีจึงเป็นเรื่องภารจำยอมเท่านั้นการที่ศาลล่างพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นทางจำเป็นผลของคดีจึงเกินคำขอและทำให้ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลยเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1349วรรคท้ายด้วยจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 8273โจทก์ที่ 1 ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 18516 ของนางละมูล เฮงจำรัสแล้วเข้าครอบครองทำประโยชน์มาประมาณ 20 ปี ที่ดินโฉนดเลขที่18517 เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนางมวล เฮงจำรัส เมื่อนางมวลตาย ที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบุตร โจทก์ที่ 2 และที่ 3 เข้าปลูกบ้านครอบครองต่อมานานประมาณ 4 ปีแล้ว แต่ยังไม่ได้แก้ชื่อทางทะเบียนที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่ 8271เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 ต่อมาโจทก์ที่ 1 จดทะเบียนขายให้โจทก์ที่ 4 แล้วโจทก์ที่ 4 เข้าปลูกบ้านครอบครองต่อมานานประมาณ8 ปีแล้ว ที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่ 8271 เดิมที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของนางมวล นางมวลตาย ที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ที่ 5 ซึ่งเป็นบุตร โจทก์ที่ 5 เข้าปลูกบ้านครอบครองต่อมานานประมาณ4 ปี แล้ว แต่ยังไม่ได้แก้ชื่อทางทะเบียน ที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่ 8271 เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนางริ้ว ทิมพิทักษ์ นางริ้วตาย ที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ที่ 6 ซึ่งเป็นสามีโจทก์ที่ 6 เข้าครอบครองปลูกบ้านต่อมานานประมาณ 6 ปี แล้วและบางส่วนเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ที่ 7 ซึ่งเป็นบุตรโจทก์ที่ 7เข้าครอบครองปลูกบ้านนานประมาณ 6 ปี แล้ว แต่ยังไม่ได้แก้ชื่อทางทะเบียน ที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่ 8264 เดิมที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของนายอ๋อ ชิ้นงามหรือโดยชิ้นงาม นายอ๋อตายที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ที่ 8 ซึ่งเป็นบุตรโจทก์ที่ 8เข้าครอบครองทำประโยชน์มานาน 11 ปีเศษแล้ว และที่ดินโฉนดเลขที่ 18518 เป็นกรรมสิทธิ์ของนายบุญยงค์ เทพสง่า ซึ่งโจทก์ที่ 9เช่าที่ดินดังกล่าวปลูกบ้านทำประโยชน์มานานประมาณ 7 ปีแล้ว ที่ดินของโจทก์ทั้งเก้าและจำเลยมีอาณาเขตติดต่อกันทางเดินในที่ดินของจำเลยเป็นทางกว้าง 8 ศอก ยาวประมาณ 5 เส้นใช้เดินกันมาตั้งแต่เจ้าของเดิมเมื่อ 60-70 ปี มาแล้ว เจ้าของเดิมและโจทก์ทั้งเก้าใช้เดิน ใช้เกวียนบรรทุกข้าวเข้าออก ต่อมาเมื่อประมาณ 18 ปี มานี้ ได้ใช้รถยนต์บรรทุกข้าวเข้าออกตามทางเดินดังกล่าวในที่ดินจำเลยนั้นไปสู่ท้องทุ่งนาและสู่ถนนสายพงสวาย-ราชบุรี มาตลอดโดยไม่มีทางอื่นจะไปได้ ครั้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2535 จำเลยเอาเสาปูน 2 ต้น มาปิดกั้นทางเดินดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งเก้าไม่สามารถเดินและใช้รถยนต์บรรทุกข้าวเข้าออกได้ ขอให้ศาลพิพากษาว่าทางเดินพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายคำฟ้องหมายสีแดงในที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 8273 เป็นภารจำยอม ให้จำเลยรื้อถอนเสาปูนที่ปิดกั้นทางเดินและขนย้ายออกจากทางพิพาทหากจำเลยไม่รื้อถอนให้จำเลยออกค่าใช้จ่ายให้โจทก์รื้อถอนเอง เป็นเงิน 100 บาท
จำเลยให้การว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 8273 แต่เดิมเป็นของนางซ้อย มณีรัตน์ มารดาจำเลย นางช้อยขุดบ่อในที่ดินด้านทิศใต้ยาวเกือบทั้งแปลงโดยได้เว้นระยะแนวบ่อให้ห่างจากแนวเขตที่ดินประมาณ1.5 เมตร เพื่อไม่ให้ดินริมตลิ่งพังลงมาในบ่อที่ดินที่เว้นไว้ก็เพื่อประโยชน์ของที่ดินจำเลย ไม่ใช่เว้นไว้เพื่อให้บุคคลอื่นหรือโจทก์ทั้งเก้าใช้ประโยชน์เป็นทางเดิน ที่ดินโฉนดเลขที่ 18516, 185178271, 8264, 18518 อยู่ติดคลองบางป่าด้านทิศใต้ ที่ดินของโจทก์ทั้งเก้าจึงมีทางออกสู่ทางสาธารณะทางคลองบางป่าและริมคลองบางป่าและริมคลองบางป่า มีสภาพเป็นถนนที่โจทก์ทั้งเก้าสามารถเข้าออกสู่ถนนเรียบคลองชลประทาน โจทก์ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 9ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินจึงไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะการฟ้องให้ได้ทรัพยสิทธิหรือทางจำเป็นก็เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินที่ได้ทรัพย์สิทธิหรือที่ดินที่ตกอยู่ในที่ล้อม ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่ตัวโจทก์ที่ 2ที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 9 ที่ดินของจำเลยไม่เคยเป็นทางหรือให้ใครอาศัยเดิน จำเลยย่อมทรงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336ที่จะดำเนินการอย่างใดในที่ดินของจำเลย การที่จำเลยล้อมรั้วในที่ดินของจำเลยไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งเก้าแต่อย่างใดโจทก์ทั้งเก้าไม่มีสิทธิ์ได้รับค่าเสียหาย และโจทก์ทั้งเก้ามิได้นำคดีมาฟ้องภายใน 1 ปี คดีของโจทก์ทั้งเก้าจึงขาดอายุความเรื่องละเมิด ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งเก้ามิได้บรรยายว่าโจทก์ทั้งเก้าได้ทรัพยสิทธิมาอย่างใดหรือที่ดินของโจทก์ทั้งเก้าตกอยู่ในที่ล้อมอันจำเป็นต้องใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็น โจทก์ทั้งเก้าบรรยายฟ้องว่าคนอื่นรวมทั้งโจทก์ทั้งเก้าใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางมา60-70 ปี ก็เป็นเพียงแต่แสดงข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งเก้าใช้ที่ดินนี้มานานเท่านั้น ย่อมไม่ได้หมายความว่าประสงค์จะให้จำเลยเปิดทางในฐานะอะไร ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งเก้าไม่ปรากฎว่าโจทก์ทั้งเก้าได้ทรัพยสิทธิในที่ดินของจำเลยมาอย่างใด หรือโจทก์ทั้งเก้าต้องใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นอย่างใด ก็ต้องถือว่าโจทก์ทั้งเก้ามิได้ทรงทรัพยสิทธิหรือต้องใช้ที่ดินของจำเป็นเป็นทางจำเป็นอย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางพิพาทกว้าง 4 เมตร ยาวตลอดตามที่ปรากฎในแผนที่พิพาทตามรูปเส้นสีแดงและตามภาพถ่ายหมาย จ.7 ถึง จ.9เป็นทางจำเป็นที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 8 มีสิทธิที่จะใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้ คำขออื่นให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ทั้งเก้าเสนอข้อหาของตนโดยทำคำฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยว่า ทางเดินพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายคำฟ้องหมายสีแดงในที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 8273 ตำบลพงสวายอำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เป็นทางภารจำยอม และให้จำเลยรื้อถอนเสาปูนที่ปักปิดกั้นทางเดินและขนย้ายออกจากทางเดินนั้น คำขอบังคับดังกล่าวเห็นได้โดยชัดว่าเป็นคำขอบังคับเพื่อให้ศาลชี้ขาดคดีของโจทก์ทั้งเก้าว่า โจทก์ทั้งเก้าต้องการให้จำเลยปฏิบัติต่อตนหรือละเว้นปฏิบัติอย่างไร ซึ่งจำเลยได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งเก้าทั้งสิ้นรวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธโดยจำเลยไม่อาจที่จะใช้สิทธิฟ้องแย้งให้ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินได้ เพราะโจทก์ทั้งเก้าไม่ได้ขอให้ศาลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า แม้โจทก์ทั้งเก้าจะเดินผ่านทางพิพาทนานเพียงใดก็หาทำให้ได้สิทธิภารจำยอมในทางพิพาทไม่ แล้วศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยต่อไปว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า สภาพแห่งข้อหาไม่ได้ขอบังคับให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ขอให้ยกฟ้องศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยตอนหนึ่งว่าคำฟ้องได้บรรยายไว้แล้วว่าที่ดินอยู่ในวงล้อมไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ แล้วพิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จำเลยฎีกาข้อกฎหมายว่า ในเรื่องทางจำเป็นคำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งเก้ามีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ และโจทก์ทั้งเก้าต้องขอมาในคำขอท้ายฟ้อง ศาลจึงมีพิจารณาพิพากษาให้ตามขอได้ ในคดีนี้ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง โจทก์ทั้งเก้าเพียงแต่ฟ้องคดีและประสงค์ตามคำขอท้ายฟ้องที่จะให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินส่วนที่พิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางภารจำยอม โจทก์ทั้งเก้ามิได้บรรยายหรือประสงค์ที่จะขอให้ทางพิพาทประสงค์จะให้จำเลยเปิดทางในฐานะอะไรตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งเก้าไม่ปรากฎว่าโจทก์ทั้งเก้าได้ทรัพยสิทธิในที่ดินของจำเลยมาอย่างใด หรือโจทก์ทั้งเก้าต้องใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นอย่างใด ก็ต้องถือว่าโจทก์ทั้งเก้ามิได้ทรงทรัพยสิทธิหรือต้องใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นอย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางพิพาทกว้าง 4 เมตร ยาวตลอดตามที่ปรากฎในแผนที่พิพาทตามรูปเส้นสีแดงและตามภาพถ่ายหมาย จ.7 ถึง จ.9เป็นทางจำเป็นที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 8 มีสิทธิที่จะใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้ คำขออื่นให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ทั้งเก้าเสนอข้อหาของตนโดยทำคำฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยว่า ทางเดินพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายคำฟ้องหมายสีแดงในที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 8273 ตำบลพงสวายอำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เป็นทางภารจำยอม และให้จำเลยรื้อถอนเสาปูนที่ปักปิดกั้นทางเดินและขนย้ายออกจากทางเดินนั้นคำขอบังคับดังกล่าวเห็นได้โดยแจ้งชัดว่าเป็นคำขอบังคับเพื่อให้ศาลชี้ขาดคดีของโจทก์ทั้งเก้าว่า โจทก์ทั้งเก้าต้องการให้จำเลยปฏิบัติต่อตนหรือละเว้นปฏิบัติอย่างไร ซึ่งจำเลยได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งเก้าทั้งสิ้นรวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธโดยจำเลยไม่อาจที่จะใช้สิทธิฟ้องแย้งให้ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินได้เพราะโจทก์ทั้งเก้าไม่ได้ขอให้ศาลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าแม้โจทก์ทั้งเก้าจะเดินผ่านทางพิพาทนานเพียงใดก็หาทำให้ได้สิทธิภารจำยอมในทางพิพาทไม่ แล้วศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยต่อไปว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า สภาพแห่งข้อหาไม่ได้ขอบังคับให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ขอให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยตอนหนึ่งว่าคำฟ้องได้บรรยายไว้แล้วว่า ที่ดินอยู่ในวงล้อมไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ แล้วพิพากษาว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จำเลยฎีกาข้อกฎหมายว่า ในเรื่องทางจำเป็นคำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งเก้ามีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ และโจทก์ทั้งเก้าต้องขอมาในคำขอท้ายฟ้อง ศาลจึงจะพิจารณาพิพากษาให้ตามขอได้ ในคดีนี้ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง โจทก์ทั้งเก้าเพียงแต่ฟ้องคดีและประสงค์ตามคำขอท้ายฟ้องที่จะให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินส่วนที่พิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางภารจำยอม โจทก์ทั้งเก้ามิได้บรรยายหรือประสงค์ที่จะขอให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นทางจำเป็นจึงเป็นการพิจารณาพิพากษาเกินกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้องฎีกาจำเลยดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 142 คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีต้องตัดสินตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อ แต่ห้ามมิให้พิพากษาหรือทำคำสั่งให้สิ่งใด ๆเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้อง ตามบทมาตราดังกล่าวเมื่อได้พิจารณาในประเด็นแห่งคดีของโจทก์ทั้งเก้าที่ต้องการให้ศาลตัดสินตามข้อเท็จจริงในคำฟ้องที่บรรยายไว้เป็นข้ออ้างแล้ว โจทก์ทั้งเก้าต้องการให้ศาลวินิจฉัยเรื่องภารจำยอมเป็นประเด็นข้อพิพาทเท่านั้นซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 ได้บัญญัติเรื่องภารจำยอมไว้ว่า อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภารจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตนหรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยเรื่องทางจำเป็นให้โจทก์ทั้งเก้านั้น ในคำฟ้องของโจทก์ทั้งเก้ามิได้บรรยายเรื่องทางจำเป็นตามมาตรา 1349 ที่ว่าที่ดินโจทก์ทั้งเก้ามีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้แต่บรรยายแต่เรื่องที่ดินมีอาณาเขตติดต่อกันแล้วใช้ทางเดินในที่ดินจำเลยที่ใช้เดินมาตั้งแต่เจ้าของเดิมเมื่อ 60-70 ปีมาแล้ว จำเลยเอาเสาปูน 2 ตันมาปักปิดกั้นทางเดินโดยเจตนากลั่นแกล้งปิดกั้นทางเดินซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า ข้ออ้างตามคำฟ้องเป็นข้ออ้างเพื่อการได้มาซึ่งภารจำยอมอันเป็นเหตุให้จำเลยต้องยอมรับกรรมบางอย่าง การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่าเป็นทางจำเป็นด้วยนั้น ผลของคดีจึงเกินคำขอและทำให้ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลยเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น ตามมาตรา 1349 วรรคท้ายด้วยที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นตามมาตรา 1349 จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยข้ออื่นต่อไป ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง