แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นภริยาของลูกหนี้ (จำเลยในคดีล้มละลาย) มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ ผู้คัดค้านที่ 2, 3, 4 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ ผู้คัดค้านที่ 1 นำที่ดินที่ตนซื้อมาระหว่างสมรสไปจำนองเอาเงินมาสร้างตึกแถวบนที่ดิน ต่อมานำเงินอันเป็นสินส่วนตัวไปไถ่จำนอง แล้วจดทะเบียนยกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นให้ผู้คัดค้านที่ 2, 3, 4 โดยลูกหนี้รู้เห็นยินยอม และเป็นการโอนในระหว่าง 3 ปีก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย ดังนี้ หนี้จำนองนั้นเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินบริคณห์ถือได้ว่าเป็นหนี้ร่วมของผู้คัดค้านที่ 1 กับลูกหนี้ การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ใช้เงินสินส่วนตัวชำระหนี้นั้น เป็นคนละส่วนกับการโอนที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2, 3, 4 เงินไถ่จำนองไม่ใช่ค่าตอบแทนในการโอนที่ดิน การโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2, 3, 4 เป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทน และเป็นกรณีที่ลูกหนี้ยอมให้ผู้คัดค้านที่ 1 กระทำการโอนที่ดินในส่วนของตนอันจำต้องเพิกถอนศาลย่อมสั่งให้เพิกถอนสัญญาให้ที่ดินเฉพาะส่วนของลูกหนี้ มิฉะนั้นก็ให้ผู้คัดค้านที่ 1 ใช้ราคา
ปัญหาว่านิติกรรมยกให้เป็นนิติกรรมอำพราง มิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสี่ล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสี่เด็ดขาด และพิพากษาให้ลูกหนี้ทั้งสี่ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า ลูกหนี้ที่ ๒ เป็นสามีนางบังอรมีบุตรด้วยกัน ๓ คน คือเด็กหญิงวรางคณา เด็กหญิงอังคณา และเด็กหญิงลักขณา ที่ดินโฉนดที่ ๒๒๒๖๘, ๒๒๒๖๙, ๒๒๒๘๑ แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร นางบังอรซื้อมาในระหว่างสมรสและนาไปจำนองบริษัทไทยสมุทรประกันภัย จำกัด นำเงินมาปลูกสร้างตึกแถว ต่อมานางหย่งมารดานางบังอรให้เงินนางบังอร ๖๘๐,๐๐๐ บาท เพื่อไปไถ่จำนองโดยทำหนังสือตามเอกสารท้ายคำร้องหมาย ๒ ว่า ยกเงินให้เป็นสินส่วนตัวของนางบังอร แล้วให้ทำนิติกรรมยกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่บุตรทั้งสามของนางบังอร ครั้นวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๑๕ นางบังอรจดทะเบียนยกที่ดินโฉนดที่ ๒๒๒๖๘,๒๒๒๖๙,๒๒๒๘๑ พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่เด็กหญิงวรางคณา เด็กหญิงอังคณาและเด็กหญิงลักขณาคนละแปลง ตามหนังสือสัญญาให้ที่ดิน ๓ ฉบับท้ายคำร้องหมายเลข ๓ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่าที่ดินทั้งสามแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นสินสมรส แม้เงินไถ่จำนองจะเป็นสินส่วนตัวของนางบังอร ก็ไม่เป็นเหตุให้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกลับกลายเป็นสินส่วนตัวของนางบังอร การที่นางบังอรยกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ผู้อื่นเกินกว่าส่วนของตน แม้จะได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ที่ ๒ แต่การโอนเป็นการยกให้โดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน เป็นการโอนที่ไม่สุจริตและลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำในระหว่างระยะเวลาสามปีก่อนมีการขอให้ล้มละลายเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนการโอน ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนสัญญาให้ที่ดินทั้งสามฉบับเฉพาะส่วนของลูกหนี้ที่ ๒ (ครึ่งหนึ่ง) ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๔ ให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมให้นางบังอรชดใช้ราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน ๒๙๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันร้องขอจนกว่าจะชำระเสร็จ
นางบังอรผู้คัดค้านที่ ๑ ยื่นคำคัดค้านว่านางหย่งมีเจตนาชัดแจ้งให้เงิน ๖๘๐,๐๐๐ บาท แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ โยให้ผู้คัดค้านที่ ๑ ทำนิติกรรมแทน ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ จึงรับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยมีค่าตอบแทน คือเงินค่าไถ่ถอนจำนอง ทั้งรับโอนไปโดยสุจริตไม่รู้ถึงการที่ลูกหนี้ที่ ๒ มีหนี้สินล้นพ้นตัว
เด็กหญิงวรางคณา เด็กหญิงอังคณา และเด็กหญิงลักขณา ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ยิ่งคำคัดค้านและฟ้องแย้งกับขอแก้ไขคำคัดค้านว่า นางหย่งมีเจตนาชัดแจ้งยกเงิน ๖๘๐,๐๐๐ บาทแก่ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ให้ไปไถ่ถอนจำนอง โดยให้ผู้คัดค้านที่ ๑ ทำนิติกรรมแทน +เท่ากับว่าผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เสียค่าตอบแทนในการรับโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามสมควร ผู้คัดค้านรับโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาโดยสุจริตไม่ถึงการที่ลูกหนี้ที่ ๒ มีหนี้ล้นพ้นตัว ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ใช้จ่ายเงินรวมทั้งสิ้น ๔๕๕,,๖๖๖.๙๐ บาท เป็นหนี้ในมูลรักษาอสังหาริมทรัพย์ หากศาลสั่งเพิกถอนการโอนที่ดินพร้อมตึกแถวและมีการขายทรัพย์ขอให้ผู้ร้องนำเงินที่ขายทรัพย์ ๔๕๕,๖๖๖.๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันยื่นคำร้องไปจนกว่าชำระเสร็จมาชำระหนี้บุริมสิทธิให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก่อนเจ้าหนี้อื่น
ผู้ร้องให้การแก้ฟ้องแย้งว่า หากผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้ในคดีล้มละลายหรืออ้างว่ามีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหาย ก็ชอบที่จะใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ที่ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ อ้างว่าเป็นเจ้าหนี้มีคำสั่งให้เพิกถอนสัญญาให้ที่ดินโฉนดที่ ๒๒๒๖๘,๒๒๒๖๙,๒๒๒๘๑ แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาฉบับลงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๑๕ (ร.๗, ร.๘, ร๙) ระหว่างผู้คัดค้านที่ ๑ ผู้ให้ กับผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ผู้รับเฉพาะส่วนของลูกหนี้ที่ ๒ (ครึ่งหนึ่ง)ตามมาตรา ๑๑๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๑ และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านที่ ๑ ชดใช้ราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ๒๙๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันร้องขอ (วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๑๙) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านทั้งสี่อุทธรณ์เฉพาะปัญหาการเพิกถอนการโอนทรัยพย์สินของลูกหนี้ที่ ๒
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านทั้งสี่ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นภริยาลูกหนี้ที่ ๒ มีบุตรด้วยกัน ๓ คน คือ ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ซึ่งเป็นผู้เยาว์ ที่ดินโฉนดที่ ๒๒๒๖๘, ๒๒๒๖๙, ๒๒๒๘๑ แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ผู้คัดค้านที่ ๑ ซื้อมาเมื่อปี ๒๕๑๓ หรือ ๒๕๑๔ ระหว่างที่เป็นภริยาลูกหนี้ที่ ๒ ที่ดินทั้งสามแปลงเป็นสินสมรส เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๑๕ ผู้คัดค้านที่ ๑ นาที่ดินทั้งสามแปลงไปจำนองบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด เอาเงินมาปลูกสร้างตึกแถวบนที่ดิน ต่อมาวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๕ นางหย่งมาราดาผู้คัดค้านที่ ๑ ทำหนังสือตามเอกสาร ร.๑๔ มีข้อความสำคัญว่ายกเงิน ๖๘๐,๐๐๐ บาท ให้ผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นสินส่วนตัว ให้ผู้คัดค้านที่ ๑ นำเงินที่ยกให้ไปไถ่ถอนการจำนองที่ดิน แล้วให้ทำนิติกรรมยกที่ดินพร้อมตึกแถวทั้งสามแปลงนั้น ให้ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ คนละหนึ่งแปลง วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๑๕ ผู้คัดค้านที่ ๑ นำเงินที่ได้รับมาจากนางหย่งไปไถ่จำนองที่ดิน ๓ แปลง และวันที่ ๒๓ เดือนเดียวกันผู้คัดค้านที่ ๑ จดทะเบียนยกที่ดินโฉนดที่ ๒๒๒๖๘,๒๒๒๖๘,๒๒๒๘๑ ให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ตามลำดับ ตามหนังสือสัญญาให้ที่ดิน ร.๗, ร๘, ร๙ การยกให้นี้ลูกหนี้ที่ ๒ รู้เห็นยินยอม และเป็นการโอนในระหว่างระยะสามปีก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ที่ ๒ ล้มละลาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาว่าผู้คัดค้านที่ ๑ โอนที่ดินสินสมรสโฉนดที่ ๒๒๒๖๘,๒๒๒๖๙,๒๒๒๘๑ พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ โดยมีค่าตอบแทนหรือไม่เห็นว่าตามหนังสือยกให้ ร.๑๔ นางหย่งยกเงิน ๖๘๐,๐๐๐ บาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๑ โดยข้อความแสดงชัดว่าให้เป็นสินส่วนตัว เงินจำนวนดังกล่าวจึงเป็นสินส่วนตัวของผู้คัดค้านที่ ๑ หนี้จำนองที่ผู้คัดค้านที่ ๑ กู้มาปลูกสร้างตึกแถวบนที่ดินสมรส เป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินบริคณห์ถือได้ว่าเป็นหนี้ร่วมของผู้คัดค้านที่ ๑ และลูกหนี้ที่ ๒ การที่ผู้คัดค้านที่ ๑ นำเงินที่ได้มาจากนางหย่งบางส่วนชำระหนี้ไถ่จำนองเพื่อให้ที่ดินปลอดจำนอง ก็เท่ากับว่าผู้คัดค้านที่ ๑ ใช้เงินอันเป็นสินส่วนตัวชำระหนี้ร่วมแก่เจ้าหนี้ในส่วนของตนและแทนลูกหนี้ที่ ๒ ซึ่งการชำระหนี้ไถ่จำนองเป็นคนละส่วนกับการโอนที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เงินไถ่จำนองจึงหาใช่ค่าตอบแทนในการโอนที่ดินไม่เพราะมิใช่เป็นค่าที่ดินไม่ผู้คัดค้านที่ ๑ จึงโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ โดยไม่มีค่าตอบแทน และเป็นกรณีที่ลูกหนี้ที่ ๒ ยินยอมให้ผู้คัดค้านที่ ๑ กระทำการโอนที่ดินในส่วนของตนอันจำต้องเพิกถอน คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าการโอนกระทำโดยสุจริตหรือไม่ ที่ผู้คัดค้านฎีกาว่าเงินที่นางหย่งยกให้มิใช่เป็นสินส่วนตัวของผู้คัดค้านที่ ๑ เห็นว่าเป็นการโต้เถียงฝืนข้อความในหนังสือยกให้ ร.๑๔ ซึ่งกล่าวไว้โดยชัดแจ้งว่าให้เป็นสินส่วนตัว ส่วนที่ผู้คัดค้านฎีกาว่านิติกรรมยกเงินให้ผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นนิติกรรมอำพรางนั้น ผู้คัดค้านมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลล่างทั้งสองให้เพิกถอนสัญญาให้ที่ดินเฉพาะส่วนของลูกหนี้ที่ ๒ (ครึ่งหนึ่ง) มิฉะนั้นให้ผู้คัดค้านที่ ๑ ใช้ราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างชอบแล้ว
พิพากษายืน.