แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 มิได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 7 ฟ้องคดีล้มละลายโจทก์ที่ 7 ในฐานะตัวแทนโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 จึงไม่มีอำนาจมอบให้โจทก์ที่ 10 ฟ้องคดีล้มละลายได้ โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 มิได้อุทธรณ์คดีระหว่างโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 กับจำเลยเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยจำเลยผู้สั่งจ่ายนำไปแลกเงินสด เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คหลายครั้งจำเลยเพิกเฉย แจ้งว่าไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ เป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดและเข้าหลักเกณฑ์ข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้วฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 7ดำเนินคดีแทน โจทก์ที่ 7 ในฐานะตัวแทนโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 และในฐานะส่วนตัวและโจทก์ที่ 8 ที่ 9 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 10 ดำเนินคดีแทนจำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งสิบตามเช็ครวมเป็นเงิน 4,586,375 บาทโจทก์ทั้งสิบทวงถาม จำเลยเพิกเฉยอ้างว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้ในขณะนี้ ขอศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 ไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 7 ดำเนินคดีแทน หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอมโจทก์ที่ 7 จึงไม่มีอำนาจตั้งโจทก์ที่ 10 เป็นตัวแทน โจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว และเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทอย่างไรฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ผูกพันจำเลย
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์ที่ 1ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 เด็ดขาด และคดีนี้ศาลอนุญาตให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าว่าคดีแทนโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นายณรงค์ศักดิ์ตั้งวงศ์กิจศิริ จำเลยเด็ดขาด ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ที่ 1ถึงที่ 6 ไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 7 ฟ้องคดีนี้ โจทก์ที่ 7 จึงไม่อาจมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 10 ฟ้องคดีได้ และโจทก์ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9ก็ไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 10 ฟ้องคดีนั้น เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 มิได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 7 ฟ้องคดีล้มละลายโจทก์ที่ 7 ในฐานะตัวแทนโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 จึงไม่มีอำนาจมอบให้โจทก์ที่ 10 ฟ้องคดีล้มละลายได้ โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 มิได้อุทธรณ์ คดีระหว่างโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 กับจำเลยเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่จำต้องวินิจฉัยอำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 1ถึงที่ 6 อีก ส่วนโจทก์ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 จะมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 10ฟ้องคดีนี้หรือไม่นั้นเห็นว่า โจทก์ได้แนบสำเนาหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 มาพร้อมคำฟ้อง และโจทก์ที่ 10 เบิกความยืนยันว่า ได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ให้ฟ้องคดีนี้ได้ โดยได้อ้างส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจต่อศาลด้วย จำเลยเพิ่งจะยกขึ้นอ้างในชั้นสืบพยานจำเลยโดยจำเลยเพียงแต่อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความลอย ๆ ว่าลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริงของโจทก์ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 10 ฟ้องคดีนี้ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะฟ้องมิได้แสดงว่าโจทก์มีฐานะเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทอย่างไร ทั้งไม่แสดงหลักเกณฑ์ข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างไรหรือไม่นั้น เห็นว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายชัดเจนแล้วว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยจำเลยผู้สั่งจ่ายนำมาแลกเงินสดไป รวมเป็นเงินตามเช็ค4,586,375 บาท ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดอันเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอน และเมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามเช็ค โจทก์นำเช็คไปขึ้นเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คหลายครั้ง แต่จำเลยเพิกเฉย แจ้งว่าไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้อันเข้าหลักเกณฑ์ข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับแล้วฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ที่จำเลยฎีกาว่าเช็คพิพาทจำเลยได้ออกเพื่อค้ำประกันหนี้ของลูกค้าที่จำเลยแนะนำไปขายลดเช็คให้แก่บริษัทโบ๊เบ๊ร่วมทรัพย์ธนาการเครดิต จำกัด และลูกค้าได้ชำระเงินให้แก่บริษัทดังกล่าวแล้ว จึงไม่มีหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดตามเช็คนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์โจทก์ที่ 10 และนายสาธิต จิตตั้งตรง พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า เช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ.7 ถึง จ.23 จำเลยได้นำมาแลกเงินสดจากโจทก์ที่ 7 และนำเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.24จ.25 จ.27 และ จ.28 มาแลกเงินจากโจทก์ที่ 10 ที่บ้านของนายสาธิตพยานโจทก์ ครั้นเช็คถึงกำหนดโจทก์ได้นำไปขึ้นเงินที่ธนาคาร แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน คดีฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้ที่จะต้องชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ตามฟ้อง ที่จำเลยนำสืบอ้างว่าเช็คพิพาทจำเลยออกให้แก่โจทก์ที่ 7 เพื่อค้ำประกันหนี้ตามเช็คที่ลูกค้านำมาขายลดให้แก่บริษัทโบ๊เบ๊ร่วมทรัพย์ธนาการเครดิตจำกัด ซึ่งมีโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 เป็นกรรมการบริหาร และได้มีการชำระหนี้ตามเช็คที่ลูกค้านำมาขายลดนั้นแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมคืนเช็คพิพาทแก่จำเลย โดยโจทก์ที่ 7 ได้ทำรายการเช็คค้ำประกันขายลดส่งคืนเป็นหลักฐานตามเอกสารหมาย ล.2 นั้นเห็นว่าข้ออ้างดังกล่าวจำเลยไม่มีหลักฐานอื่นสนับสนุน เอกสารหมาย ล.2 ที่จำเลยอ้างเป็นเพียงสำเนาภาพถ่ายไม่มีต้นฉบับมาแสดง ทั้งลายมือชื่อของโจทก์ที่ 7 ในเอกสารดังกล่าวเมื่อเปรียบเทียบกับลายมือชื่อของโจทก์ที่ 7 ในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.4 เห็นว่ามีลักษณะลีลาการเขียนที่ผิดแผกแตกต่างกันซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ชัดโจทก์ที่ 10 และนายสาธิตก็เบิกความว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย ล.2 ไม่เหมือนลายมือชื่อของโจทก์ที่ 7 ที่แท้จริง จึงไม่น่าเชื่อว่าเอกสารหมาย ล.2 เป็นรายการเช็คค้ำประกันที่ส่งคืนดังที่จำเลยอ้าง คดีฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสิบเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยจำเลยผู้สั่งจ่ายนำมาแลกเงินสดจากโจทก์ดังที่โจทก์นำสืบหนี้ตามเช็คพิพาทดังกล่าวเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอน ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์
ปัญหาตามฎีกาจำเลยต่อไปมีว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้เป็นหนี้บุคคลอื่น และยังมีทรัพย์สินอยู่จำนวนมาก เช่นนอกจากจะมีร้านแบ็งค์แล้วจำเลยยังมีที่ดินพร้อมอพาร์ตเม้นต์ให้เช่า 60 ห้อง ราคา 16 ล้านบาท ที่ดินพร้อมตึกแถว 8 ชั้น 1 คูหาราคาประมาณ 8 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ตลาดโบ๊เบ๊เซ็นเตอร์ ที่ดินพร้อมตึกแถว 4 ชั้น 2 ห้อง ราคาประมาณ2 ล้านบาท ตั้งอยู่ย่านมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นั้นได้ความว่าที่ดินพร้อมอพาร์ตเม้นต์ 60 ห้อง ย่านประตูน้ำก็ดีที่ดินพร้อมตึกแถว 8 ชั้น 1 คูหา ที่ตลาดโบ๊เบ๊เซ็นเตอร์ก็ดีไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ แต่ได้ความว่าเป็นทรัพย์สินของนางอัชราภริยาจำเลย นางอัชราได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจดทะเบียนจำนองต่อธนาคารเอเซียจำกัด ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.52 ถึง จ.55 และ จ.58 และได้ความว่านางอัชราเองก็เป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นเงินจำนวน 11 ล้านบาท ทั้งจำเลยก็ถูกธนาคารกรุงเทพ จำกัดฟ้องเรียกเงินตามเช็คเป็นเงินจำนวน 1,834,887.83 บาท ตามเอกสารหมาย จ.60 ส่วนร้านแบ็งค์และที่ดินพร้อมตึกแถว 2 คูหา ย่านมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นั้น ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลยและมีราคาดังที่จำเลยกล่าวอ้าง คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้โจทก์ได้ และข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ที่ 10 ได้ทวงถามจำเลยให้ชำระหนี้หลายครั้ง จำเลยไม่ยอมชำระโดยอ้างว่าหนี้ที่จำนองมากไม่สามารถจะชำระให้ได้ พฤติการณ์ต่าง ๆ ของจำเลยดังกล่าวต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 8ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน