แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่พยานโจทก์เห็นผู้ตายเดินไปหลังบ้านเพื่อล้างมือ และเห็นจำเลยเดินตามไป ต่อมาประมาณ 3 ถึง 4 นาที มีเสียงปืนดังขึ้นนั้น เป็นเพียงข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นคนร้ายเท่านั้น และที่ผู้ตายตบหน้า ว. ภริยาผู้ตายซึ่งเป็นญาติของจำเลยก็มิใช่เหตุที่จำเลยจะต้องโกรธแค้นถึงขนาดคิดฆ่าผู้ตายคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนนั้นก็เป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง ปรากฏว่าคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมไม่มีรายละเอียด คงมีการกล่าวหาว่าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาซึ่งก็มิได้ระบุว่าฆ่าใคร และเขียนไว้ว่าผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาเท่านั้น ส่วนคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวน จำเลยให้การว่าจำเลยเอาอาวุธปืนแก๊ปยาวไปซ่อนไว้หลังบ้านของผู้ตายก่อนแล้วจึงไปร่วมวงดื่มสุรากับผู้ตายและพวก เมื่อผู้ตายลุกขึ้นวิ่งไปบนบ้าน จำเลยเข้าใจว่าผู้ตายจะไปเอาอาวุธปืนมายิงตน จึงวิ่งไปเอาอาวุธปืนแก๊ปยาวที่ซ่อนไว้ออกมาครั้นเห็นผู้ตายอยู่ที่ชานหลังบ้านจำเลยก็ยิงผู้ตายไป 1 นัด แล้วหลบหนีไปซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่แตกต่างกับคำเบิกความพยานโจทก์ ที่ไม่ปรากฏว่ามีการวิ่งแล้วยังไม่สมเหตุผลเพราะคนที่ร่วมดื่มสุราอยู่ด้วยกัน 6 ถึง 7 คน ไม่มีการทะเลาะวิวาทกันแต่อย่างใด จะมาฆ่ากันต่อหน้าบุคคลอื่นในลักษณะเช่นนั้นย่อมไม่น่าเป็นไปได้ ประกอบกับผู้ตายถูกกระสุนปืนบริเวณสีข้างและชายโครงด้านซ้าย ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาพถ่ายที่จำเลยแสดงท่ายิงผู้ตายขณะที่ผู้ตายนั่งยอง ๆ อยู่บนชานบ้านและหันหลังให้จำเลยโดยเอียงข้างขวาให้จำเลยเล็กน้อยข้อพิรุธดังกล่าวจึงทำให้คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พยานหลักฐานของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยมีเจตนาฆ่าใช้อาวุธปืนลูกซองยิงนายไชยา ทำคามผู้ตาย 1 นัด เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย พนักงานสอบสวนยึดได้หมอนกระดาษอัดหน้ากระสุนปืนลูกซอง 1 ชิ้น จากที่เกิดเหตุ และยึดลูกตะกั่วกระสุนปืนลูกซอง 3 เม็ด จากศพผู้ตายเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ให้จำคุก 15 ปี คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี ริบของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด ขณะที่ผู้ตายไปล้างมือที่ครัวหลังบ้าน กระสุนปืนถูกผู้ตายบริเวณชายโครงด้านซ้ายทะลุปอดและหัวใจเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวไม่มีพยานโจทก์คนใดเห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุโจทก์คงมีนายบุญมี นายคำพัน นายสังวาลย์ และนายสมบูรณ์ ซึ่งนั่งดื่มสุราอยู่กับผู้ตายและจำเลยก่อนจะเกิดเหตุมาเบิกความเป็นพยาน โดยนายบุญมีและนายคำพันเบิกความว่า เมื่อผู้ตายเดินไปทางหลังบ้านเพื่อล้างมือ ต่อมาเห็นจำเลยเดินตามไปและหลังจากนั้นประมาณ 3 ถึง 4 นาที จึงมีเสียงปืนดังขึ้น ส่วนนายสังวาลย์และนายสมบูรณ์เบิกความว่า ขณะเสียงปืนดังขึ้นพยานไม่เห็นจำเลย ได้ความว่าก่อนเกิดเหตุและก่อนที่จำเลยจะไปร่วมดื่มสุราด้วย นางวาสนาภริยาผู้ตายไปตามผู้ตายให้กลับบ้านผู้ตายไม่ยอมกลับ เกิดการทะเลาะกันและผู้ตายตบหน้านางวาสนาซึ่งเป็นญาติของจำเลย ดังนี้ เห็นว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเป็นเพียงข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นคนร้ายเท่านั้น ข้อที่ผู้ตายตบหน้านางวาสนาภริยาของผู้ตายเองก็มิใช่เหตุที่จำเลยจะต้องโกรธแค้นถึงขนาดคิดฆ่าผู้ตาย ส่วนที่นายบุญมีเคยให้การในชั้นสอบสวนว่าผู้ตายเคยทะเลาะกับนางสายบัวมารดาของจำเลย ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.4 ก็ได้ความว่านางสายบัวไล่ผู้ตายออกจากบ้าน แต่ในชั้นพิจารณานายบุญมีมิได้เบิกความถึง คงเบิกความเพียงว่าก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 สัปดาห์ นางสายบัวด่าผู้ตายว่าเลี้ยงหลานไม่ดี ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสาเหตุข้อใดก็เป็นเรื่องที่ผู้ตายควรเป็นฝ่ายโกรธเคืองนางสายบัวมากกว่าที่จำเลยจะเป็นฝ่ายโกรธเคืองผู้ตาย พยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนนี้จึงยังไม่มีเหตุผลพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายอีกเช่นเดียวกัน นอกจากนี้โจทก์คงมีเพียงคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ซึ่งเป็นพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยและต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง สำหรับคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุม ตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 ไม่มีรายละเอียดคงมีการกล่าวหาว่าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาซึ่งมิได้ระบุว่าฆ่าใคร และเขียนไว้ว่าผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาเท่านั้น การที่ร้อยตำรวจตรีสันติ พูลสวัสดิ์ เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมจำเลยเบิกความว่า สาเหตุที่จำเลยฆ่าผู้ตายเพราะภริยาผู้ตายซึ่งเป็นญาติของจำเลยไปบอกจำเลยว่าถูกผู้ตายทำร้ายนั้น หากร้อยตำรวจตรีสันติสอบถามจำเลยจนได้ความดังกล่าวในขณะจับกุมจริง ก็น่าจะบันทึกไว้ให้ปรากฏในเอกสารหมาย จ.1การเบิกความลอย ๆ เช่นนี้ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เพราะขณะเบิกความพยานอาจทราบถึงรายละเอียดในเรื่องนี้มาจากบุคคลอื่นก็ได้ ส่วนคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ปจ.6 นั้น ปรากฏว่าจำเลยให้การไว้ว่าจำเลยเอาอาวุธปืนแก๊ปยาวไปซ่อนไว้หลังบ้านของผู้ตายก่อนแล้วจึงไปร่วมวงดื่มสุรากับผู้ตายและพวก เมื่อผู้ตายลุกขึ้นวิ่งไปบนบ้าน จำเลยเข้าใจว่าผู้ตายจะไปเอาอาวุธปืนมายิงตน จึงวิ่งไปเอาอาวุธปืนแก๊ปยาวที่ซ่อนไว้ออกมาครั้นเห็นผู้ตายอยู่ที่ชานหลังบ้าน จำเลยก็ยิงผู้ตายไป 1 นัด แล้วหลบหนีไปเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำให้การดังกล่าวนอกจากจะแตกต่างกับคำเบิกความของนายบุญมี นายคำพัน นายสังวาลย์ และนายสมบูรณ์ พยานโจทก์ที่ไม่ปรากฏว่ามีการวิ่งแล้วยังไม่สมเหตุผลเพราะคนที่ร่วมดื่มสุราอยู่ด้วยกันมีถึง 6 ถึง 7 คน ไม่มีการทะเลาะวิวาทกันแต่อย่างใด จะมาฆ่ากันต่อหน้าบุคคลอื่นในลักษณะเช่นนั้นย่อมไม่น่าเป็นไปได้ เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เอกสารหมาย ปจ.7 กับภาพถ่ายหมาย ปจ.8 ภาพแรกจำเลยแสดงท่ายิงผู้ตายขณะที่ผู้ตายนั่งยอง ๆ อยู่บนชานบ้านและหันหลังให้จำเลยโดยเอียงข้างขวาให้จำเลยเล็กน้อย แต่ตามรายงานการชันสูตรพลิกศพผู้ตายท้ายฟ้องประกอบกับภาพถ่ายสภาพศพผู้ตายหมาย ปจ.3 แผ่นที่ 3 ที่ 4และที่ 5 ปรากฏว่าผู้ตายถูกกระสุนปืนบริเวณสีข้างและชายโครงด้านซ้ายซึ่งไม่สอดคล้องกับการยิงตามที่จำเลยแสดงท่าทางดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่าจำเลยอาจจดจำคลาดเคลื่อนไปได้ และผู้ตายไม่ได้อยู่นิ่งนั้น เห็นว่าการฆ่าคนมิใช่เหตุการณ์ที่บุคคลทั่วไปกระทำเป็นประจำ ไม่น่าจะจดจำคลาดเคลื่อนทั้งพนักงานสอบสวนก็ควรจะช่วยจัดท่าทางให้สอดคล้องกับพยานหลักฐานอื่น ๆ ได้ หากจำเลยให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุด้วยความสมัครใจจริง ข้อพิรุธดังกล่าวจึงทำให้คำให้สารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ส่วนของกลางคงให้ริบ