คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดให้โจทก์ฟังไปฝ่ายเดียวโดยที่ส่งหมายให้จำเลยไม่ได้ จำเลยจึงไม่ทราบนัดและไม่มาศาลนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้กระบวนพิจารณาหลังจากนั้นต่อมาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะได้อ่านคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยฟัง ก็หาทำให้การอ่านคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่ จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเป็นการผิดระเบียบ ชอบที่จะเพิกถอนเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แม้ปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว และเป็นหนี้โจทก์ ๕๘,๖๖๘ บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยไม่ได้ให้การ แต่แถลงยินยอมผ่อนชำระหนี้ทั้งหมดให้โจทก์ภายในวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๕ หากไม่ชำระตามกำหนดหรือชำระไม่ครบจำเลยยอมสละข้อต่อสู้ทั้งหมด ให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดได้โดยไม่ต้องสืบพยาน
จำเลยชำระหนี้ไม่ครบถ้วน วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๕ ซึ่งเป็นวันนัดโจทก์มาศาล จำเลยไม่มา ศาลสั่งงดสืบพยาน และนัดฟังคำสั่งวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๕ เวลา ๘.๓๐ น. แจ้งวันนัดให้จำเลยทราบโดยให้ศาลจังหวัดลำพูนจัดส่งให้ ถ้าไม่มีผู้ใดรับให้ปิดหมาย ครั้งถึงวันนัดโจทก์มาศาล จำเลยไม่มาและยังไม่ได้รับแจ้งผลการส่งหมายจากศาลจังหวัดลำพูน ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดให้โจทก์ฟังไปฝ่ายเดียว ต่อมาศาลจังหวัดลำพูนแจ้งว่าส่งหมายให้แก่จำเลยไม่ได้เพราะจำเลยย้ายไปรับราชการที่จังหวัดอื่น
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่ทราบนัดฟังคำสั่งของศาลชั้นต้นการที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดให้โจทก์ฟังไปฝ่ายเดียว เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ปัญหาว่าศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๕ เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๕๓ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๐(๓) วรรคแรกและวรรคสองแล้ว เห็นว่า การอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้น ศาลจะต้องแจ้งวันนัดอ่านให้คู่ความทราบก่อนแล้วจึงจะอ่านได้ เมื่อคู่ความฝ่ายใดทราบนัดแล้วไม่มาจึงจะปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๐(๓) วรรคแรกและวรรคสอง คดีนี้ศาลชั้นต้นนัดฟังคำสั่งวันที่ ๓๐กรกฎาคม ๒๕๒๕ เวลา ๘.๓๐ น. เมื่อถึงวันนัดโจทก์มาศาล ส่วนจำเลยไม่มาศาลโดยไม่ปรากฏว่าส่งหมายนัดให้จำเลยได้หรือไม่ ศาลชั้นต้นชอบที่จะเลื่อนการอ่านไป แต่ศาลชั้นต้นกลับอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดให้โจทก์ฟังเป็นฝ่ายเดียว ต่อมาวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๒๕ ศาลชั้นต้นได้รับแจ้งจากศาลจังหวัดลำพูนซึ่งเป็นผู้ส่งหมายนัดแทนว่า ส่งหมายนัดให้จำเลยไม่ได้เพราะจำเลยย้ายไปรับราชการที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดให้โจทก์ฟังไปฝ่ายเดียวเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม๒๕๒๕ โดยที่จำเลยไม่ทราบนัดและไม่มาศาลนั้น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้กระบวนพิจารณาหลังจากนั้นต่อมาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย แม้ต่อมาวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๕ ศาลชั้นต้นจะได้อ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดให้จำเลยฟัง ก็หาทำให้การอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่ จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเป็นการผิดระเบียบ ชอบที่จะเพิกถอนเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๗ แม้ปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยต่อไป
พิพากษาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกการอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดของศาลชั้นต้นที่ได้อ่านเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๕ และกระบวนพิจารณาภายหลังจากนั้นต่อมา ให้ศาลชั้นต้นนัดโจทก์จำเลยมาฟังคำสั่งใหม่ต่อไป

Share