คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2197/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ใช้มีด (มีดพร้า) ฟันโจทก์ร่วมที่แก้มซ้ายเพียงครั้งเดียวจนบาดแผลที่หายกลายเป็นแผลเป็นที่เริ่มที่ใต้ใบหูท่อนล่างยาวพาดตามข้างแก้มซ้ายลงไปถึงคอยาวประมาณ 16 เซนติเมตร ลักษณะแผลเป็นสันนูนกว้างประมาณครึ่งเซนติเมตร สูงประมาณครึ่งเซนติเมตร มองเห็นได้ในระยะ 5 เมตรฟังได้ว่าทำให้รูปหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว จากลักษณะบาดแผลดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 2 มิได้ฟันโจทก์ร่วมอย่างแรง จึงปรากฏปากแผลกว้างลึกถึงใต้ผิวหนังเท่านั้น กรณีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาฆ่า แต่เป็นการทำร้ายโจทก์ร่วมบาดเจ็บสาหัส

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามบังอาจร่วมกันใช้มีดพร้าฟันทำร้ายร่างกายสิบตำรวจโทวิเชียร แทนสันเทียะ หลายครั้งถูกบริเวณศีรษะ ใบหน้า และไหล่ได้รับอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บสาหัส ใบหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว โดยเจตนาฆ่าจำเลยทั้งสามลงมือกระทำไปตลอดแล้ว แต่ไม่บรรลุผล เพราะผู้เสียหายได้รับการรักษาจากแพทย์ทันท่วงที ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297,288, 80, 83 ริบมีดของกลาง ฯลฯ

จำเลยที่ 1 ให้การรับว่า ผู้เสียหายจะทำร้ายร่างกายจำเลย จำเลยจึงฟันผู้เสียหาย 1 ทีเพื่อป้องกันตัว

จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จำคุก 9 เดือน ข้อหานอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3มีดของกลางริบ

โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4) จำคุก 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้พิพากษายกฟ้อง

ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 2 ได้ใช้มีดฟันโจทก์ร่วมที่แก้มซ้ายเพียงครั้งเดียว ส่วนอีกแผลหนึ่งเกิดจากจำเลยที่ 2 ดึงมีดขณะที่โจทก์ร่วมล้มทับจำเลยที่ 2 อยู่ มีบาดแผลที่ซอกคอจนถึงราวนมข้างขวา ซึ่งเป็นเพียงแผลถลอกลึกใต้ผิวหนัง เฉพาะแผลที่แก้มซ้ายของโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นตรวจดูแล้วบาดแผลที่หายกลายเป็นแผลเป็น เริ่มที่ใต้ใบหูท่อนล่างยาวพาดตามแก้มซ้ายลงไปถึงคอยาวประมาณ 16 เซนติเมตร ลักษณะบาดแผลเป็นสันนูนกว้างประมาณครึ่งเซนติเมตร สูงประมาณครึ่งเซนติเมตรมองเห็นได้ชัดในระยะ 5เมตร อันฟังได้ว่าทำให้รูปหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว จากลักษณะบาดแผลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าที่จำเลยที่ 2 ฟันโจทก์ร่วมที่แก้มซ้ายนั้น จำเลยที่ 2 มิได้ฟันโจทก์ร่วมอย่างแรง จึงปรากฏปากแผลกว้างลึกถึงใต้ผิวหนังเท่านั้น กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาฆ่า ฯลฯ

พิพากษายืน

Share