แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในชั้นร้องขัดทรัพย์ศาลที่ออกหมายบังคับคดีจะชี้ขาดได้แต่เพียงว่าสมควรปล่อยทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้หรือไม่เท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา288วรรคแรกและถ้าหากได้ความจริงว่าผู้ร้องขัดทรัพย์ได้รับโอนทรัพย์นั้นมาโดยไม่สุจริตเป็นการหลีกเลี่ยงการชำระหนี้แก่โจทก์แล้วศาลก็มีอำนาจชี้ขาดให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา237ได้อยู่แล้วฉะนั้นโจทก์จึงไม่จำต้องฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนชื่อผู้ร้องทั้งสองออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาท
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินตามเช็คที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 730,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 874/573, 858/573 และ 574เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า ที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวเป็นของผู้ร้องทั้งสองโดยผู้ร้องได้ซื้อมาจากจำเลยโดยสุจริตไม่ใช่ของจำเลย ขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึด
โจทก์ให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินทั้งสามแปลงที่นำยึดเป็นของจำเลย ผู้ร้องทั้งสองร่วมกับจำเลยฉ้อฉลโจทก์ทำนิติกรรมซื้อขายกันโดยทุจริต เพื่อให้พ้นจากการถูกบังคับคดี ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกคำร้องและเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินทั้งสามแปลงระหว่างจำเลยกับผู้ร้องทั้งสองเสีย
ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะคำให้การไม่รับฟ้องแย้งของโจทก์โดยเห็นว่าไม่เกี่ยวกับคำร้องขัดทรัพย์
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนชื่อผู้ร้องทั้งสองออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงได้หรือไม่พิเคราะห์แล้วประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคแรกบัญญัติว่า “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 55 ถ้าบุคคลใดกล่าวอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ ฯลฯ บุคคลนั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นว่านั้น ฯลฯ” ดังนี้เห็นว่าในชั้นร้องขัดทรัพย์ศาลที่ออกหมายบังคับคดีจะชี้ขาดได้แต่เพียงว่า สมควรปล่อยทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้หรือไม่เท่านั้น และถ้าหากได้ความจริงว่าผู้ร้องขัดทรัพย์ได้รับโอนทรัพย์นั้นมาโดยไม่สุจริต เป็นการหลีกเลี่ยงการชำระหนี้แก่โจทก์แล้วศาลก็มีอำนาจชี้ขาดให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น โจทก์จึงไม่จำต้องฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนชื่อผู้ร้องทั้งสองออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาททั้งสามแปลง ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน