คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80โดยบรรยายฟ้องด้วยว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ต้องป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ซึ่งข้อเท็จจริงได้ความตามคำแถลงรับของทนายจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลตามใบรับรองแพทย์ต้องใช้เวลาในการรักษามากกว่า 20 วัน จึงจะหายเป็นปกติจึงฟังได้ว่าผู้เสียหายต้องป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า20 วัน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายได้รับอันตรายสาหัส ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในบทที่หนักกว่าศาลย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความอันเป็นบทที่เบากว่าได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 จำคุก 10 ปีจำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน มีเหตุบรรเทาโทษอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ริบของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงนายอดุลย์หรืออาดุล สนทา ผู้เสียหาย 1 นัด กระสุนปืนถูกบริเวณเข่าขวา มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายและนายจันทร์หรือบุญจันทร์ สีดาเพ็ง เบิกความยืนยันว่า คืนเกิดเหตุพยานโจทก์ทั้งสองเดินตามคันนาห่างกระท่อมจำเลยประมาณ20 เมตร โดยมีโคมไฟส่องหากบ ใช้แบตเตอรี่ติดที่ศีรษะ มีเสียงสุนัขเห่า พยานโจทก์ทั้งสองเห็นจำเลยนั่งคุกเข่าใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงมา 1 นัด กระสุนปืนถูกบริเวณเข่าขวาของผู้เสียหาย จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยเข้าใจว่าพยานโจทก์ทั้งสองเป็นคนร้ายจะเข้ามาทำร้ายจำเลยเนื่องจากจำเลยตะโกนถามว่าใคร แต่พยานโจทก์ทั้งสองก็ยังไม่หยุดเดิน กลับเดินเข้ามาและส่องไฟมาทางจำเลย ทำให้ตาจำเลยพร่ามัว ไม่ทราบว่าเป็นใครและประสงค์อะไร จำเลยย่อมสำคัญผิดว่าเป็นคนร้ายนับว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การที่จำเลยยิงปืนไปเพียงนัดเดียวในระยะต่ำทั้งเมื่อทราบว่าเป็นใครแล้วก็ไม่กระทำต่อและให้ความช่วยเหลือ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงและเป็นการป้องกันสิทธิของตนเองพอสมควรแก่เหตุ เห็นว่า ข้อนี้จำเลยเองเบิกความรับว่า ได้ยินเสียงสุนัขเห่าก็ตื่นขึ้นเห็นแสงไฟสีนวล 2 ดวง มุ่งมาทางกระท่อม จำเลยจึงหยิบอาวุธปืนลูกซองยาวออกมา ร้องตะโกนให้ถอยหลังไปรวม 3 ครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบรับยังคงเดินเข้ามาพร้อมทั้งฉายไฟใส่หน้าจำเลย จำเลยตกใจคิดว่าจะถูกยิง จำเลยจึงยิงขู่ไปทางแสงไฟ 1 นัด ดังนี้ หากพยานโจทก์ทั้งสองเป็นคนร้ายคงจะไม่เปิดไฟให้คนอื่นเห็นและเมื่อได้ยินเสียงจำเลยตะโกนก็น่าจะวิ่งหลบหนีไปตั้งแต่ได้ยินครั้งแรกแล้ว แต่ปรากฏว่าจำเลยตะโกนถึง 3 ครั้ง พยานโจทก์ทั้งสองก็ยังคงเดินตามปกติไม่มีพฤติการณ์ที่ส่อแสดงให้เห็นว่าจะเข้าไปทำร้ายจำเลยแต่อย่างใดยิ่งกว่านั้นตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1ปรากฏว่าพยานโจทก์ทั้งสองจะเดินตามคันนาผ่านกระท่อม และตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย จ.2 ระบุว่า มีรูกระสุนปืนเข้าที่ด้านนอกของเข่าขวา กระสุนปืนตุง อยู่ที่ด้านในของเข่าซ้ายคลำได้ แสดงว่าวิถีกระสุนเข้าทางด้านข้างของผู้เสียหายมิได้เข้าทางด้านหน้า จึงฟังไม่ได้ว่าพยานโจทก์ทั้งสองได้เดินเข้าไปหาจำเลยที่กระท่อมดังที่จำเลยอ้าง นอกจากนี้ในชั้นจับกุมจำเลยก็ให้การรับสารภาพโดยมิได้อ้างว่าสำคัญผิดแต่อย่างใด พยานจำเลยจึงมีพิรุธรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยยิงผู้เสียหายเพราะสำคัญผิดว่าพยานโจทก์ทั้งสองเป็นคนร้ายที่เดินเข้ามาเพื่อทำร้ายจำเลยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่การที่จำเลยยิงในระยะต่ำกระสุนปืนถูกบริเวณเข่าเท่านั้นและยิงเพียงนัดเดียวทั้งที่จำเลยมีกระสุนปืนเหลืออีก 11 นัดและระยะยิงก็ห่างจากพยานโจทก์ทั้งสองประมาณ 20 เมตร หากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายก็สามารถยิงในระยะสูงให้ถูกที่สำคัญได้และยังสามารถตามไปยิงซ้ำได้อีก แต่กลับปรากฏว่าหลังจากยิงแล้วจำเลยได้เข้าไปช่วยห้ามเลือดให้ผู้เสียหาย และยังไปตามนายบัวไลย์แสนแอ ให้ช่วยเอารถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายส่งโรงพยาบาลอีกด้วย ซึ่งนายบัวไลย์มาเบิกความเป็นพยานโจทก์เจือสมจำเลยในข้อนี้ นอกจากนี้จำเลยกับผู้เสียหายก็ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ดังนั้นจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายอย่างไรก็ตามการที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงไปทางคนถือแสงไฟนั้นแม้จำเลยจะยิงในระยะต่ำก็แสดงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายผู้อื่นแล้วเพราะหากจำเลยไม่มีเจตนาเช่นนั้น จำเลยสามารถยิงไปทางอื่นที่ไม่มีคนก็ได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายและข้อเท็จจริงได้ความตามคำแถลงรับของทนายจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2534 ว่าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลรายละเอียดปรากฏตามใบรับรองแพทย์เอกสารหมาย จ.4 ซึ่งตามใบรับรองแพทย์ดังกล่าวระบุว่าใช้เวลาในการรักษามากกว่า 20 วันจึงจะหายเป็นปกติ จึงฟังได้ว่าผู้เสียหายต้องป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วันการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) ซึ่งแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 อันเป็นบทที่หนักกว่า แต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องด้วยว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) อันเป็นบทที่เบากว่าตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) ให้จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 8 เดือน ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และจำเลยประกอบอาชีพที่สุจริตมีเหตุอันควรปรานี จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ข้อหาอื่นให้ยก ริบของกลาง

Share